แยกจากภูริหลังจากกิน sushi ที่ Shibuya ก็ไปเก็บตก Tokyo กันต่อ ตอนนี้เราจะไปต่อกันที่ Harajuku คราวก่อนที่ไปกับพี่ต้า ยังไม่เจอคนแต่งตัวแปลกๆ แรงๆ เลย ภูริบอกว่าต้องไปดูที่สะพานหน้าวัด Meiji ยังไงก็จะไปที่วัดนี้อยู่แล้ว ก็คงจะได้เห็นกันซะที จาก Shibuya นั่งรถไฟ JR เจ้าเก่าไปลงสถานี Harajuku เดินไปยังหน้าสถานีก็จะเจอแล้ว สะพานหน้าวัด Meiji ก็มองไปมองมา ทำไมไม่มีใครแต่งตัวประหลาดเลยเนี่ย เห็นแต่ชายวัยกลางคน ยืนร้องเพลงกับวิทยุอยู่คนเดียว อะไรเนี่ย ผิดหวังเสียจริง ช่างมันลองเข้าวัดก่อนละกัน
พอเดินเข้าวัด Meiji จากบรรยากาศที่เป็นเมือง มองเห็นตึกเยอะแยะ มีรถวิ่ง กลายเป็น ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในป่าเลย ตอนนี้จะเดินอยู่บนถนนกรวดกว้างๆ มีผู้คนเดินเต็มไปหมดเลย ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันเสาร์หรือป่าว คนเลยเยอะ เดินเข้าไปก็จะเจอกับเสาโทริขนาดใหญ่เป็นระยะๆ เดินพอควรถึงจะถึงตัววัดจริงๆ ที่วัด Meiji นี้ไม่เสียเงินค่าเข้าเหมือนวัดอื่นๆ พอไปถึงตัววัด อย่างแรกที่เห็นคือ มีคู่บ่าวสาวชาวญี่ปุ่น แต่งตัวเต็มยศกำลังถ่ายรูปกันอยู่ มีช่างกล้อง แม่ยก อะไรพร้อมสรรพ เดินไปอีกนิดก็เจออีกคู่ วัดนี้เนี่ยเป็นที่จัดงานแต่งงานเนี่ยเอง ก้าวเข้าไปภายในวัด ก็จะคล้ายๆ กับวัดอื่นๆ มีที่ให้ไหว้เจ้าสักการะ มีต้นไม้ไว้ให้แขวนป้ายเพื่อศิริมงคล อะไรประมาณนั้น ชื่นชมกับบรรยากาศภายในวัดได้สักพัก เป็นโชคดีที่มีขบวนคู่บ่าวสาวกำลังแห่มาพอดี ของเค้าไม่เหมือนบ้านเราที่จะมีกลองยาว แห่ โห่ ฮี้ว กันนะ ของที่ญี่ปุ่นนี้จะมีพระนำหน้า แล้วตามด้วยคู่บ่าวสาว และขบวนญาติๆ เพื่อนสนิท อีกพอประมาณ จะเงียบๆ คงเพราะอยู่ในวัดด้วยแหละ
สมควรแก่เวลาที่เราจะกลับออกไป ตอนนี้บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว ท้องฟ้าค่อนข้าวสลั่วๆ มืดๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีลมแรงมากพัดเข้ามาในวัด หิน กรวดอะไรปลิวกระจายหมดเลย ทำเอาทุกคนในวัดตกอกตกใจกันหมด ต้องไปยืนหลบตามมุมกำแพงของวัดกัน เกิดมาเพิ่งเคยเจอลมแรงขนาดนี้เนี่ย น่ากลัวจริงๆ พอลมหยุดพัด ก็กลับออกจากวัด ระหว่างทาง ท้องฟ้าก็ยังคงมืดครึ้มอยู่ตลอด ออกมาถึงข้างนอกวัด ก็ยังไม่เจอผู้คนแต่งตัวประหลาดอีกเช่นเคย แย่จัง สงสัยจะไม่เห็นละ เราไปเก็บตกกันต่อดีกว่า จากหนังสือและข้อมูลที่ได้ไปอ่านมา ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ไปชมวิวมุมสูงกันที่ Tojo Building (Tokyo Metropolitan Government) ซึ่งอยู่ที่ Shinjuku ก็เลยนั่งรถไฟ JR ไปยังสถานี Shinjuku ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
ไปถึงสถานี Shinjuku ก็งงว่าจะไปทางไหนดี เอาแผ่นที่มากาง ปรากฏว่ามันอยู่ไกลมากเลยแหะ จากในแผ่นที่ ก็เดินๆ ตามไป เดินไปได้สักพัก เอ๊ะ ทำไมไม่ถึงซะที หลงอีกหรือป่าวเนี่ย ไม่มั่นใจแหะ เดินกลับไปตั้งต้นที่สถานีใหม่ดีกว่า โอเคไปถึงสถานี เดินวน 1 รอบ อันนั้นป้ายบอก Tojo Building เดินตามไปได้ 2 ป้าย ป้ายก็หายไป อ้าว ไปไหนแล้ว ทำไงดี ตอนนี้ใช้วิธีเดา Tojo Building มันเป็นตึกสูงๆ เพราะฉะนั้นน่าจะอยู่ด้านตึกสูงๆ มองไปมองมาก็เห็นแต่แถว Takashimaya ที่มีแต่ตึกสูงๆ และใกล้สถานีสุด โอเคเดินไปทางนั้นละกัน เดินไปถึงก็ เจอป้ายอธิบายตึกต่างๆ แถว Shinjuku ว่ามีตึกอะไรบ้าง โอเค Tojo Building อยู่ไหนเอ่ย ปรากฏว่าไอ้ทางแรกที่เดินไปนะ ถูกแล้ว แต่ต้องเดินต่อไปอีก อ้าวห่า เดินกลับ
ในที่สุดก็ถึง Tojo Building ซึ่งเดินหาซะนาน เข้าไปก็มีป้ายบอกว่าจะชมวิวด้าน East หรือ West ดี รู้สึกว่าประตูมันเปิดแต่ด้าน East โอเค เข้าไปละกัน ก่อนหน้าก็มีคู่ชายหญิงเดินเข้าไปก่อน ก็มียามมาพูดๆ อะไรกับคู่นี้เค้าก็ไม่รู้ แล้วรู้สึกหน้าตาผิดหวังออกมา ก็ไม่สนใจ ก็เลยเดินเข้าไปเลย ก็หา เอ๊ะ เราต้องขึ้นไปทางไหนนะถึงจะได้ดูวิว ก็ลองเดินๆ ดู ที่ชั้น 1 ตึกนั้นก็จะมี booth ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ เราสามารถไปหยิบแผ่นที่ เอกสารท่องเที่ยวต่างๆ ได้ ก็ไปหยิบ แล้วก็มานั่งพักสักครู่ และสังเกตุได้ว่า ทุกคนเข้ามาแล้วยามก็บอกอะไรสักอย่าง เลยไปเดินเล็งๆ ดู ปรากฏว่า วันนี้ปิด ขึ้นไปชมวิวไม่ได้ อ้าวห่า (อีกแล้ว) เสียเที่ยวจริงๆ พักให้หายอึ้งและหายเหนื่อย ก็ออกมากลับเพื่อกลับไปยังร้าน Gap ที่ Harajuku ที่นัดภูริเอาไว้ ระหว่างทางก็ผ่านกับ Family mart ก็เลยแวะซื้อซุปข้าวโพดกระป๋องแสนอร่อยกิน
กลับมาเจอภูริที่ Harajuku ก่อนอื่นก็ขอซื้อ crape กินก่อนดีกว่า ภูริก็พาเดินดูร้านขายเสื้อผ้า แถวนั้น ตลอดทางเดินกลับ Shibuya ซึ่งใกล้กันมากระหว่าง Shibuya กับ Harajuku เย็นนี้เราไปกินข้าวกันที่ร้านแกงร้านนึงใน Shibuya เป็นร้านที่ต้องลงไปใต้ดินของตึก จำชื่อร้านไม่ได้ละ รู้สึกจะเป็นร้านยอดนิยมร้านนึง เพราะว่ามีคนเยอะเหมือนกัน บรรยากาศในร้านก็ประมาณ เหมือนกินข้าวในบ้านของชาวยุโรป อะไรประมาณนั้น เมนูก็เป็นแกงประเภทต่างๆ ราดกับข้าว ซึ่งก็อร่อยดี กินเสร็จก็ดูของกันต่ออีกสักพัก และแวะจุดสุดท้าย ร้าน Donki เพื่อซื้อขนม ของฝากกลับ วันนี้ก็หมดแล้ว พรุ่งนี้จะต้องกลับไทยแล้ว เศร้า
วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551
วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551
เก็บตก Tokyo (1)
23 กุมภา
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเต็มๆ วันแล้ว ก็เลยขอเก็บตก Tokyo สถานที่ต่างๆ ที่ยังไม่ได้ไป ตื่นมาแต่เช้า ทิ้งภูรินอนอยู่ที่บ้าน ออกไปเก็บตกกันก่อน ที่แรกที่จะไป ก็คือ Asakusa ย่านนี้เป็นย่านชื่อดังที่รู้จักกันทั่วไปสำหรับชาวต่างชาติที่จะไปเที่ยว Tokyo การเดินทางก็ไม่ลำบากนั่งรถไฟ subway จากสถานี Shibuya ไปลงสถานี Asakusa พอขึ้นจากสถานี ก็จะเจอกับประตูและโคมอันยักษ์อันแรก ซึ่งโคมนี้ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของที่นี้เลยก็ว่าได้ พอผ่านประตูเข้าไปก็จะเป็นถนน Nakamise ที่มุ่งสู่วัด Sensoji ซึ่ง 2 ข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก ของกินมากมาย ตอนนี้ผู้คนเยอะมาก น่าจะเพราะว่าเป็นวันเสาร์ด้วย คนเลยเยอะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นร้านขายดังโงะ คลุกถั่ว หรือเกาลักอะไรสักอย่าง ลองซื้อมากินก็โอเคใช้ได้ เหนียวๆ หวานๆ เดินต่อไปสักพัก ก็เจอร้านเซ็มเบ้ ก็ลองซื้อมากิน เป็นรสโขยุ คือ เอาเซมเบ้ ที่เพิ่งปิ้งเสร็จ มาจิ้มในโชยุ แค่นั้น ก็กรอบๆ เค็มๆ ไม่มีอะไรพิเศษ เดินไปเรื่อยๆ จนสุด ก็จะเจอกับประตูอีกอันนึง ซึ่งก็มีโคมไฟยักษ์ห้อยอยู่เช่นกัน พอผ่านประตูนี้ก็จะเข้าสู๋วัด Sensoji แล้ว ในวัดก็จะมีเจดีย์สูงทางด้านซ้าย พอเดินเข้าไปก็จะเจอกับกระถางธูปกับผู้คนที่รุมพัดควันธูปเข้าหาตัว เมื่อเห็นอย่างนั้น ก็วิ่งไปพัดบ้าง เพื่อสิริมงคล (มั้ง) ทางด้านขวาของกระถางธูป ก็เป็นที่ใช้ชำระล้างมือกันแบบวัดอื่นๆ ในญี่ปุ่น เค้าก็มีรูปสอนว่า เราต้องทำยังไง
1. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือซ้าย
2. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือขวา
3. ตักน้ำขึ้นมา บ้วนปาก
เป็นอันเสร็จ พร้อมที่จะขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมองค์ 5 นิ้วที่วัดนี้แล้ว มาขึ้นไปบนวิหารวัด ก็จะเจอกับโคมไฟยักษ์อีกแล้ว พอเข้าไปเราจะเห็นกับองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ไกลๆ ก็กราบไหว้ ขอพร ตามสะดวก ออกจากวิหารกลาง มาเดินทางด้านซ้ายของวิหาร ก็จะเป็นสวน ในสวนก็จะมีพวกเทวรูป ศาลเล็กให้ได้ไหว้เช่นกัน จากจุดนี้เราจะมองเห็นสวนสนุกซึ่งอยู่ข้างๆ วัดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 10 โมงเลย เดินถ่ายรูปชิวๆ ได้อีก เดินมาทางด้านขวาของวิหารบ้าง ด้านนึ้ก็จะมีศาลอีกเช่นกัน แล้วก็มีระฆังด้วย ควรแก่เวลา กลับกันดีกว่าต้องกลับไปที่ Shibuya เพื่อกิน Sushi ร้านแนะนำของภูริดีกว่า เดินกลับสถานี Asakusa ที่สถานีก็มีเอาเกี้ยวที่เอาไว้ใช้แห่มาโชว์ไว้ด้วย จากสถานี Asakusa ก็จะนั่ง subway ไปลงสถานี Shibuya พอถึงสถานียังเห็นยังเร็วกว่าเวลานัด คือ 11 โมง ก็เลยขอหามุมถ่ายรูป 5 แยก Shibuya อันเลื่องชื่อสักหน่อย พอถ่ายเสร็จก็เดินไปที่ร้านที่จะกิน Sushi กัน ผลปรากฏว่า คิวของคนมาต่อกันยาวมากๆๆๆ ตอนนี้ภูริยังไม่มา ก็เลยไปยืนต่อก่อน ต่อไปได้สักพัก ภูริก็มาถึง เนื่องจากภูริต้องไปสัมภาษณ์งานต่อ ตอนบ่าย ซึ้งเล็งเห็นว่าถ้ารอเนี่ย ต้องไม่ทันแน่ๆ เลยเปลี่ยนใจ ไปกิน sushi ร้านยืนกินกันแทน
ไปถึงก็ไปยืน พนักงานเค้าก็จะเอาใบไม้ รู้สึกจะเป็นใบไผ่ มาวางข้างหน้าเรา ก็คือ พอเราสั่งเสร็จ เค้าก็จะทำซูชิมาวางบนใบนี้ ก็กินไปหลายอย่างเหมือนกัน อร่อยดี ปลาอะไรรู้สึกสด ไม่คาว หอยเนี่ยกรอบอร่อยเลยแหละ เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านยืนกินและราคาไม่แพงมาก คุณภาพก็เลยไม่ถือว่าดีเลิศอะไร แต่คิดแล้วน่าจะยังดีกว่าที่ไทยนะ มื้อนี้ก็เหมาะไปหลายพันเยนเหมือนกัน แต่ก็อร่อยใช้ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องไปลองร้านดังที่วันนี้ไปกินไม่ได้ให้ได้เลย
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเต็มๆ วันแล้ว ก็เลยขอเก็บตก Tokyo สถานที่ต่างๆ ที่ยังไม่ได้ไป ตื่นมาแต่เช้า ทิ้งภูรินอนอยู่ที่บ้าน ออกไปเก็บตกกันก่อน ที่แรกที่จะไป ก็คือ Asakusa ย่านนี้เป็นย่านชื่อดังที่รู้จักกันทั่วไปสำหรับชาวต่างชาติที่จะไปเที่ยว Tokyo การเดินทางก็ไม่ลำบากนั่งรถไฟ subway จากสถานี Shibuya ไปลงสถานี Asakusa พอขึ้นจากสถานี ก็จะเจอกับประตูและโคมอันยักษ์อันแรก ซึ่งโคมนี้ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของที่นี้เลยก็ว่าได้ พอผ่านประตูเข้าไปก็จะเป็นถนน Nakamise ที่มุ่งสู่วัด Sensoji ซึ่ง 2 ข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก ของกินมากมาย ตอนนี้ผู้คนเยอะมาก น่าจะเพราะว่าเป็นวันเสาร์ด้วย คนเลยเยอะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นร้านขายดังโงะ คลุกถั่ว หรือเกาลักอะไรสักอย่าง ลองซื้อมากินก็โอเคใช้ได้ เหนียวๆ หวานๆ เดินต่อไปสักพัก ก็เจอร้านเซ็มเบ้ ก็ลองซื้อมากิน เป็นรสโขยุ คือ เอาเซมเบ้ ที่เพิ่งปิ้งเสร็จ มาจิ้มในโชยุ แค่นั้น ก็กรอบๆ เค็มๆ ไม่มีอะไรพิเศษ เดินไปเรื่อยๆ จนสุด ก็จะเจอกับประตูอีกอันนึง ซึ่งก็มีโคมไฟยักษ์ห้อยอยู่เช่นกัน พอผ่านประตูนี้ก็จะเข้าสู๋วัด Sensoji แล้ว ในวัดก็จะมีเจดีย์สูงทางด้านซ้าย พอเดินเข้าไปก็จะเจอกับกระถางธูปกับผู้คนที่รุมพัดควันธูปเข้าหาตัว เมื่อเห็นอย่างนั้น ก็วิ่งไปพัดบ้าง เพื่อสิริมงคล (มั้ง) ทางด้านขวาของกระถางธูป ก็เป็นที่ใช้ชำระล้างมือกันแบบวัดอื่นๆ ในญี่ปุ่น เค้าก็มีรูปสอนว่า เราต้องทำยังไง
1. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือซ้าย
2. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือขวา
3. ตักน้ำขึ้นมา บ้วนปาก
เป็นอันเสร็จ พร้อมที่จะขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมองค์ 5 นิ้วที่วัดนี้แล้ว มาขึ้นไปบนวิหารวัด ก็จะเจอกับโคมไฟยักษ์อีกแล้ว พอเข้าไปเราจะเห็นกับองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ไกลๆ ก็กราบไหว้ ขอพร ตามสะดวก ออกจากวิหารกลาง มาเดินทางด้านซ้ายของวิหาร ก็จะเป็นสวน ในสวนก็จะมีพวกเทวรูป ศาลเล็กให้ได้ไหว้เช่นกัน จากจุดนี้เราจะมองเห็นสวนสนุกซึ่งอยู่ข้างๆ วัดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 10 โมงเลย เดินถ่ายรูปชิวๆ ได้อีก เดินมาทางด้านขวาของวิหารบ้าง ด้านนึ้ก็จะมีศาลอีกเช่นกัน แล้วก็มีระฆังด้วย ควรแก่เวลา กลับกันดีกว่าต้องกลับไปที่ Shibuya เพื่อกิน Sushi ร้านแนะนำของภูริดีกว่า เดินกลับสถานี Asakusa ที่สถานีก็มีเอาเกี้ยวที่เอาไว้ใช้แห่มาโชว์ไว้ด้วย จากสถานี Asakusa ก็จะนั่ง subway ไปลงสถานี Shibuya พอถึงสถานียังเห็นยังเร็วกว่าเวลานัด คือ 11 โมง ก็เลยขอหามุมถ่ายรูป 5 แยก Shibuya อันเลื่องชื่อสักหน่อย พอถ่ายเสร็จก็เดินไปที่ร้านที่จะกิน Sushi กัน ผลปรากฏว่า คิวของคนมาต่อกันยาวมากๆๆๆ ตอนนี้ภูริยังไม่มา ก็เลยไปยืนต่อก่อน ต่อไปได้สักพัก ภูริก็มาถึง เนื่องจากภูริต้องไปสัมภาษณ์งานต่อ ตอนบ่าย ซึ้งเล็งเห็นว่าถ้ารอเนี่ย ต้องไม่ทันแน่ๆ เลยเปลี่ยนใจ ไปกิน sushi ร้านยืนกินกันแทน
ไปถึงก็ไปยืน พนักงานเค้าก็จะเอาใบไม้ รู้สึกจะเป็นใบไผ่ มาวางข้างหน้าเรา ก็คือ พอเราสั่งเสร็จ เค้าก็จะทำซูชิมาวางบนใบนี้ ก็กินไปหลายอย่างเหมือนกัน อร่อยดี ปลาอะไรรู้สึกสด ไม่คาว หอยเนี่ยกรอบอร่อยเลยแหละ เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านยืนกินและราคาไม่แพงมาก คุณภาพก็เลยไม่ถือว่าดีเลิศอะไร แต่คิดแล้วน่าจะยังดีกว่าที่ไทยนะ มื้อนี้ก็เหมาะไปหลายพันเยนเหมือนกัน แต่ก็อร่อยใช้ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องไปลองร้านดังที่วันนี้ไปกินไม่ได้ให้ได้เลย
วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551
จุดหมายสุดท้ายใน Kamakura และ Akihabara
จาก Daibutsu เราจะนั่งรถกลับมายังสถานี Kamakura เพื่อเดินไปยังจุดหมายถัดไป ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง Kamakura นี้ วิธีการเดินทางก็ไม่ยาก จากสถานี Kamakura ก็หาเสาโทริสีแดงให้เจอ แล้วก็เดินเข้าไปเลย ตลอดถนนสายนี้ก็จะเป็นร้านขายของ ขายอาหาร ขายขนม และที่ฮิตก็คือ softcream เช่นเคย บนถนนเส้นนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ เดินไปเรื่อยๆ ดูข้าวดูของตามทาง พอถึงสุดทาง ก็เลี้ยวขวา จะเห็นเสาโทริสีแดงขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่
พอผ่านเสาโทริ ก็จะเห็นสะพานหินเก่าๆ อันนึง แต่เข้าไม่ให้เราข้าม ต้องไปข้ามสะพานข้างๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ด้านขวาจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะถึงตัวศาล เราจะเห็นร้านเล็กตั้งขายขนมเป็นระยะ แต่ที่ชอบคือ ต้นไม้ใหญ่มาก แล้วก็เยอะด้วย เห็นเดียวกับวัดหรือศาลเจ้าหลายๆ ที่ เราจะเห็นสาวๆ หรือสาวเหลือน้อย แต่งชุดกิโมโนมาไหว้พระกัน เดินเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเห็นศาลาสีแดงเป็นอย่างแรกเลย ทางด้านซ้ายของศาลา เราจะเห็นซุ้มที่เก็บเหล้าต่างๆ ไว้ พวกเหล้าพวกนี้เค้าเก็บไว้ตอนฉลองงานต่างๆ ก่อนที่เราจะขึ้นบันไดไป เราจะเจอกับต้นไม้ที่แห้งอยู่ ไม่แน่ใจว่าตายยัง แต่ดูเก่าแก่มากเลย ต้นเนี่ยใหญ่เชียว เค้าเอาเชือกผูกไว้ เหมือนเป็นต้นศักดิสิทธิ์ประมาณนั้นด้วย เดินขึ้นบันไดไป ก็จะเจอกับซุ้มประตูสีแดง ผ่านซุ้มประตูเข้าไปก็จะถึงตัวศาล ตัวศาลสร้างจากไม้ ทาสีออกเลือดหมู ไม่เหมือนศาลอื่นที่จะทาออกแดงไปเลย ตามจั่ว ตามหลังคา เสาต่างๆ ก็จะทาสี หรือวาดภาพไว้สวยงาม ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องไหว้เจ้า สักการะกันแล้ว ไปกันมาก็หลายวัด หลายศาลแล้ว ยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่า เวลาชาวญี่ปุ่นไหว้เจ้าเนี่ยเค้าไหว้กันยังไง จากที่สังเกตุมาไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าถูกหรือป่าว แต่ก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาไหว้อะ
1. บริจาคเงิน โดยโยนเหรียญแล้วแต่ศรัทธา ลงสู่ที่รับเหรียญด้านหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นตู้ไม้ แล้วมีไม้วางเป็นซี่ๆ ด้านบน ไม่เหมือนบ้านเราที่เป็นตู้พลาสติก จะโยนเป็นเหรียญ 100 เยน 500 เยน ก็ได้แล้วแต่ท่าน ยิ่งเหรียญราคาแพง เสียงที่กระทบกับไม้ก็ยิ่งดัง หนักแน่น แต่เราเบี้ยน้อยหอยน้อย โยนเหรียญต่ำๆ แทบไม่ได้ยินเสียงกระทบไว้เลย
2. จะปรบมือสัก 2-3 ที หรือถ้าตรงนั้นมีกระดิ่งก็สั่นกระดิ่ง ระฆัง หรือฆ้อง แล้วแต่วัดจะเตรียมอะไรไว้ตรงนั้น แตกต่างกันแล้วแต่วัด แอบมีเกร็ดเล็กๆ คือ ต้องสั่นแรงๆ ให้ดังๆ เข้าไว้ อันนี้ก็ไม่รู้นะ สังเกตุมา
3. ยกมือไหว้ อธิษฐาน จะเป็นภาษาอะไรแล้วแต่สะดวก คิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจทุกภาษานะ แค่นี้ก็เสร็จสรรพ กับการไหว้เจ้า
กลับมาสู่ศาล Tsurugaoka Hachimangu หลังจากที่เราไหว้เจ้าเสร็จ ข้างๆ จะมีตู้จำหน่ายคูปองเพื่อเข้าไปชมพวกวัตถุโบราณของวัด ราคา 200 เยน ก็ลองกดดู เดินเข้าไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้เดินรอบตัวศาลแล้ววนกลับมา ที่ไหนได้ เดินเข้าไป เลี้ยว 1 ทียังเดินไม่ถึงครึ่งก็หมด วนออกมาแล้ว ไม่คุ้มอย่างแรง ภายในก็จะเป็นของโบราณต่างๆ รู้สึกว่าจะเป็นของโชกุนนะ พวกเสื้อคลุม พวกตำรา หนังสือ ภาพวาด ประมาณนั้นนะ ออกมาจากศาล แอบมองเข้าไปข้างใน รู้สึกเค้าจะทำพิธีอะไรกันด้านใน เดินออกมาจากศาล ลองวนไปอีกทางด้านนึง ก็จะเจอกับศาลอะไรสักอย่าง แล้วก็มีต้นไม้ศักดิสิทธิ์ หินศักดิสิทธิ์ (มั้ง) แล้วสุดท้ายก็เป็นเสาโทริหิน ค่อนข้างจะเก่าทีเดียว จากตรงนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมสวนดอกไม้ของศาลเจ้าได้ แต่ต้องเสียเงินนะ มาคิดดูตอนนี้ฤดูหนาวคงไม่ค่อยมีดอกไม้อะไรมากหรอก ก็เลยไม่เข้าไป แต่บริเวณหน้าทางเข้าสวนจะมีดอกบ๊วยให้ถ่ายรูปกันอีกแล้ว สวยดี ชอบ สวนนี้จะติดกับสระน้ำที่ตอนแรกเจอแหละ ที่สระนี้ก็จะมีเป็ดเต็มเลย ก็จะมีชาวญี่ปุ่น นั่งพักผ่อนให้อาหารเป็ดกันอยู่หลายคน แต่จริงๆ ในสระก็จะมีปลาคาร์ฟด้วย พอโยนอาหารลงไป ก็จะแย่งกันระหว่างเป็ดกับปลา ตลกดี เดินเรื่อยมาหน่อย ก็จะเจอกับสะพานเดินข้ามไปที่เกาะกลางสระได้ บนเกาะก็จะมีศาลเล็กๆ รอบๆ ศาลก็จะมีธงอะไรปักอยู่เต็มเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคือธงอะไรเหมือนกัน พอออกจากเกาะกลางสระ ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่หน้าศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu พอดี ก็คงได้เวลาต้องลาจากซะแล้ว
ขากลับเดินกลับอีกทาง คือทางที่ตรงกับศาลพอดี ทางนี้จะเป็นทางเท้า ที่อยู่ตรงกลางระหว่างถนน ทั้งสองด้านของทางเท้าจะมีต้นไม้ คาดว่าเป็นต้นซากุระ ถ้าบานจะต้องสวยแน่นอนเลยอะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่นพอดี ก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบๆ ข้าง บางคนเดินไปตบแปะกับเพื่อนไป ก็ดีไม่ต้องระวังรถเลย เพราะไม่มีรถแน่ๆ ดูปลอดภัยดีจัง ตอนใกล้จะสุดทางกลับถึงสถานี จะเจอกับร้านขายขนมรูปนกพิราบ คิดว่าเป็นขนมชื่อดังของที่นี้นะ ร้านสีขาวใหญ่เชียว แต่ไม่ได้ลองเข้าไปดูนะ แล้วก็ถึงสถานี Kamakura แล้ว ตอนนี้ก็ขอนั่งรถไฟกลับไปยัง Tokyo เพื่อไปเดินแถว Akihabara กันต่อ
พอถึงสถานี Tokyo เราก็ต่อรถไฟมาลงที่สถานี Akihabara ตอนนั้นประมาณบ่าย 5 ได้ เดินออกจากสถานีได้ไม่ทันไร ก็จะเห็นสาวๆ มาแจกใบปลิว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวเสื้อผ้าเลยไม่ค่อยจะแปลกซะเท่าไหร่มั้ง ได้ข่าวว่าปกติจะแต่งชุดพวก maid กัน ก็อย่างที่ทราบๆ กันย่านนี้เป็นย่านที่ขายของ electronic เยอะ ก็เห็นเต็มไปหมดเลย ทั้ง Bic Camera และร้านอื่นๆ แอบจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่ที่สนใจนอกจากพวกของ electronic ก็คือพวก model, figure ญี่ปุ่นต่างๆ ที่แอบหลบอยู่บนชั้น 2 ของตึกต่างๆ ก็ลองมั่วเดินขึ้นไป ตามตึกต่างๆ และแล้วก็ได้ของมาบางส่วน จริงๆ อยากซื้อมากกว่านี้แต่กลัวขนกลับไม่ไหว ก็เลยหยุดไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ลองเดินไปอีกด้านนึงของ Akihabara ก็เจอส่วนที่ให้ความรู้สึกแบบคลองถม คือ เค้าจะเอาพวกอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใส่กล่อง แล้ววางขาย ติดป้ายถูกๆ อะไรแบบนั้น ตอนนี้ก็เริ่มเย็นละ มั่วเสียเวลากับหาของเล่น พอดีเจอร้านขายข้าวแกงกระหรี่ ชื่อ Curry Kitchen ก็เลยเข้าไปกินข้าวแกงกระหรี่รองท้อง เหมือนเดิม หยอดเหรียญ เอาคูปองส่งให้พนักงาน แล้วก็รอกิน พอกินแล้วรู้สึกรสชาติธรรมดาๆ สู้วันก่อนแถว Shibuya ที่กินกับภูริกับพี่ต้าไม่ได้ เสร็จก็นั่งรถกลับ Shibuya เพื่อไปเจอภูริ แล้วไปเดินแถว Loft แล้วก็กลับไปที่บ้าน พักผ่อน ก็หมดไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่จะได้เที่ยงญี่ปุ่นเต็มๆ วันเป็นวันสุดท้าย คิดแล้วเศร้าอยากอยู่ต่อจัง
พอผ่านเสาโทริ ก็จะเห็นสะพานหินเก่าๆ อันนึง แต่เข้าไม่ให้เราข้าม ต้องไปข้ามสะพานข้างๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ด้านขวาจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะถึงตัวศาล เราจะเห็นร้านเล็กตั้งขายขนมเป็นระยะ แต่ที่ชอบคือ ต้นไม้ใหญ่มาก แล้วก็เยอะด้วย เห็นเดียวกับวัดหรือศาลเจ้าหลายๆ ที่ เราจะเห็นสาวๆ หรือสาวเหลือน้อย แต่งชุดกิโมโนมาไหว้พระกัน เดินเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเห็นศาลาสีแดงเป็นอย่างแรกเลย ทางด้านซ้ายของศาลา เราจะเห็นซุ้มที่เก็บเหล้าต่างๆ ไว้ พวกเหล้าพวกนี้เค้าเก็บไว้ตอนฉลองงานต่างๆ ก่อนที่เราจะขึ้นบันไดไป เราจะเจอกับต้นไม้ที่แห้งอยู่ ไม่แน่ใจว่าตายยัง แต่ดูเก่าแก่มากเลย ต้นเนี่ยใหญ่เชียว เค้าเอาเชือกผูกไว้ เหมือนเป็นต้นศักดิสิทธิ์ประมาณนั้นด้วย เดินขึ้นบันไดไป ก็จะเจอกับซุ้มประตูสีแดง ผ่านซุ้มประตูเข้าไปก็จะถึงตัวศาล ตัวศาลสร้างจากไม้ ทาสีออกเลือดหมู ไม่เหมือนศาลอื่นที่จะทาออกแดงไปเลย ตามจั่ว ตามหลังคา เสาต่างๆ ก็จะทาสี หรือวาดภาพไว้สวยงาม ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องไหว้เจ้า สักการะกันแล้ว ไปกันมาก็หลายวัด หลายศาลแล้ว ยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่า เวลาชาวญี่ปุ่นไหว้เจ้าเนี่ยเค้าไหว้กันยังไง จากที่สังเกตุมาไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าถูกหรือป่าว แต่ก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาไหว้อะ
1. บริจาคเงิน โดยโยนเหรียญแล้วแต่ศรัทธา ลงสู่ที่รับเหรียญด้านหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นตู้ไม้ แล้วมีไม้วางเป็นซี่ๆ ด้านบน ไม่เหมือนบ้านเราที่เป็นตู้พลาสติก จะโยนเป็นเหรียญ 100 เยน 500 เยน ก็ได้แล้วแต่ท่าน ยิ่งเหรียญราคาแพง เสียงที่กระทบกับไม้ก็ยิ่งดัง หนักแน่น แต่เราเบี้ยน้อยหอยน้อย โยนเหรียญต่ำๆ แทบไม่ได้ยินเสียงกระทบไว้เลย
2. จะปรบมือสัก 2-3 ที หรือถ้าตรงนั้นมีกระดิ่งก็สั่นกระดิ่ง ระฆัง หรือฆ้อง แล้วแต่วัดจะเตรียมอะไรไว้ตรงนั้น แตกต่างกันแล้วแต่วัด แอบมีเกร็ดเล็กๆ คือ ต้องสั่นแรงๆ ให้ดังๆ เข้าไว้ อันนี้ก็ไม่รู้นะ สังเกตุมา
3. ยกมือไหว้ อธิษฐาน จะเป็นภาษาอะไรแล้วแต่สะดวก คิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจทุกภาษานะ แค่นี้ก็เสร็จสรรพ กับการไหว้เจ้า
กลับมาสู่ศาล Tsurugaoka Hachimangu หลังจากที่เราไหว้เจ้าเสร็จ ข้างๆ จะมีตู้จำหน่ายคูปองเพื่อเข้าไปชมพวกวัตถุโบราณของวัด ราคา 200 เยน ก็ลองกดดู เดินเข้าไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้เดินรอบตัวศาลแล้ววนกลับมา ที่ไหนได้ เดินเข้าไป เลี้ยว 1 ทียังเดินไม่ถึงครึ่งก็หมด วนออกมาแล้ว ไม่คุ้มอย่างแรง ภายในก็จะเป็นของโบราณต่างๆ รู้สึกว่าจะเป็นของโชกุนนะ พวกเสื้อคลุม พวกตำรา หนังสือ ภาพวาด ประมาณนั้นนะ ออกมาจากศาล แอบมองเข้าไปข้างใน รู้สึกเค้าจะทำพิธีอะไรกันด้านใน เดินออกมาจากศาล ลองวนไปอีกทางด้านนึง ก็จะเจอกับศาลอะไรสักอย่าง แล้วก็มีต้นไม้ศักดิสิทธิ์ หินศักดิสิทธิ์ (มั้ง) แล้วสุดท้ายก็เป็นเสาโทริหิน ค่อนข้างจะเก่าทีเดียว จากตรงนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมสวนดอกไม้ของศาลเจ้าได้ แต่ต้องเสียเงินนะ มาคิดดูตอนนี้ฤดูหนาวคงไม่ค่อยมีดอกไม้อะไรมากหรอก ก็เลยไม่เข้าไป แต่บริเวณหน้าทางเข้าสวนจะมีดอกบ๊วยให้ถ่ายรูปกันอีกแล้ว สวยดี ชอบ สวนนี้จะติดกับสระน้ำที่ตอนแรกเจอแหละ ที่สระนี้ก็จะมีเป็ดเต็มเลย ก็จะมีชาวญี่ปุ่น นั่งพักผ่อนให้อาหารเป็ดกันอยู่หลายคน แต่จริงๆ ในสระก็จะมีปลาคาร์ฟด้วย พอโยนอาหารลงไป ก็จะแย่งกันระหว่างเป็ดกับปลา ตลกดี เดินเรื่อยมาหน่อย ก็จะเจอกับสะพานเดินข้ามไปที่เกาะกลางสระได้ บนเกาะก็จะมีศาลเล็กๆ รอบๆ ศาลก็จะมีธงอะไรปักอยู่เต็มเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคือธงอะไรเหมือนกัน พอออกจากเกาะกลางสระ ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่หน้าศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu พอดี ก็คงได้เวลาต้องลาจากซะแล้ว
ขากลับเดินกลับอีกทาง คือทางที่ตรงกับศาลพอดี ทางนี้จะเป็นทางเท้า ที่อยู่ตรงกลางระหว่างถนน ทั้งสองด้านของทางเท้าจะมีต้นไม้ คาดว่าเป็นต้นซากุระ ถ้าบานจะต้องสวยแน่นอนเลยอะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่นพอดี ก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบๆ ข้าง บางคนเดินไปตบแปะกับเพื่อนไป ก็ดีไม่ต้องระวังรถเลย เพราะไม่มีรถแน่ๆ ดูปลอดภัยดีจัง ตอนใกล้จะสุดทางกลับถึงสถานี จะเจอกับร้านขายขนมรูปนกพิราบ คิดว่าเป็นขนมชื่อดังของที่นี้นะ ร้านสีขาวใหญ่เชียว แต่ไม่ได้ลองเข้าไปดูนะ แล้วก็ถึงสถานี Kamakura แล้ว ตอนนี้ก็ขอนั่งรถไฟกลับไปยัง Tokyo เพื่อไปเดินแถว Akihabara กันต่อ
พอถึงสถานี Tokyo เราก็ต่อรถไฟมาลงที่สถานี Akihabara ตอนนั้นประมาณบ่าย 5 ได้ เดินออกจากสถานีได้ไม่ทันไร ก็จะเห็นสาวๆ มาแจกใบปลิว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวเสื้อผ้าเลยไม่ค่อยจะแปลกซะเท่าไหร่มั้ง ได้ข่าวว่าปกติจะแต่งชุดพวก maid กัน ก็อย่างที่ทราบๆ กันย่านนี้เป็นย่านที่ขายของ electronic เยอะ ก็เห็นเต็มไปหมดเลย ทั้ง Bic Camera และร้านอื่นๆ แอบจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่ที่สนใจนอกจากพวกของ electronic ก็คือพวก model, figure ญี่ปุ่นต่างๆ ที่แอบหลบอยู่บนชั้น 2 ของตึกต่างๆ ก็ลองมั่วเดินขึ้นไป ตามตึกต่างๆ และแล้วก็ได้ของมาบางส่วน จริงๆ อยากซื้อมากกว่านี้แต่กลัวขนกลับไม่ไหว ก็เลยหยุดไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ลองเดินไปอีกด้านนึงของ Akihabara ก็เจอส่วนที่ให้ความรู้สึกแบบคลองถม คือ เค้าจะเอาพวกอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใส่กล่อง แล้ววางขาย ติดป้ายถูกๆ อะไรแบบนั้น ตอนนี้ก็เริ่มเย็นละ มั่วเสียเวลากับหาของเล่น พอดีเจอร้านขายข้าวแกงกระหรี่ ชื่อ Curry Kitchen ก็เลยเข้าไปกินข้าวแกงกระหรี่รองท้อง เหมือนเดิม หยอดเหรียญ เอาคูปองส่งให้พนักงาน แล้วก็รอกิน พอกินแล้วรู้สึกรสชาติธรรมดาๆ สู้วันก่อนแถว Shibuya ที่กินกับภูริกับพี่ต้าไม่ได้ เสร็จก็นั่งรถกลับ Shibuya เพื่อไปเจอภูริ แล้วไปเดินแถว Loft แล้วก็กลับไปที่บ้าน พักผ่อน ก็หมดไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่จะได้เที่ยงญี่ปุ่นเต็มๆ วันเป็นวันสุดท้าย คิดแล้วเศร้าอยากอยู่ต่อจัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)