วันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

พร้อมแล้วกับการเดินทางไปญี่ปุ่น

ตอนนี้ก็ทำสิ่งต่างๆ มากมาย แล้ว ไม่ว่าจะเป็น
  • ลากับที่บริษัท
  • วีซ่าไปญี่ปุ่น
  • JR Pass
ตอนนี้ที่ขาดอยู่อย่างเดียวก็ คือ Itinerary หรือว่าก็คือกำหนดการเดินทางต่างๆ จากหนังสือ และข้อมูลที่มีอยู่มากมาย อ่านไม่ไหว แล้วเหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น แล้วตอนช่วงกลางวันก็ไม่มีเวลามานั่งหาข้อมูลไรเลย เพราะว่าต้องทำงาน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างเร่งให้กับ 2 project ก็เลยต้องใช้เวลาในช่วงกลางคืน เท่านั้นในการวางแผน แล้วอีกอย่างภูริอยากให้วางแผนให้เสร็จ ภายใน 1 อาทิตย์นี้ เพราะมันจะวางแผนไปเที่ยวที่อื่นในช่วงที่เราไม่อยู่ในโตเกียว ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องใช้วิธี แค่เปิดหนังสือแล้วดูแค่รูปว่าที่ไหนสวย น่าสนใจจะไป scan ดูแล้ว list ออกมาว่าอยากไปที่นั้นที่นี้ แล้วมาคุยกับภูริ ช่วงนั้นกว่าจะได้นอนก็ ตี 3 เกือบทุกคืน เหนื่อยมาก นอกจากนั้นก็ยังต้องทำอะไรอย่างอื่นอีก ในช่วงนั้น ก็เลยยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่

ผ่านไป 5 วัน
จาก list ที่คิดมาจริงๆ list อันนี้ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการวางแผนตอนแรกแล้วแหละ แต่คราวนี้จะวางแผนให้ละเอียดเลยว่า จะไปที่ไหนเมื่อไหร่ยังไง กว่าจะได้กำหนดการทั้งหมดก็เล่นเอาซะเหนื่อย ต้องขอบคุณพวกข้อมูลการเดินรถจาก เว็ปที่เคยบอกไปเมื่อวันก่อนมาก ทำให้การวางแผนครั้งนี้สำเร็จได้ ก็แพลนออกมา ได้เป็นโปรแกรม 10 วัน ซึ่งเหนื่อยมาก ต้องออกจากที่พักเช้าตรู่แทบทุกวัน กูจะรอดไหมเนี่ยแบบนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องวางแผนละเอียดซะขนาดนั้น เหตุผลก็คือ นี่เป็นการไปครั้งแรก แล้วชอบมีคนมาบอกว่า ไปนู้นมีแต่ป้ายภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น อ่านไรไม่ออกเลย ก็กลัวนะซิว่าไปแล้วจะหลงหรือป่าว นอกจากนั้น นี่เป็นการไปครั้งแรก แล้วก็ต้องขอคุ้มหน่อย ถ้ามั่วมาแต่นั่งคลำทางไปด้วยระหว่างเดินทาง สงสัยจะไม่ไหว เสียเวลา ไม่คุ้มกับกับเงินแน่ๆ plan ที่ได้ก็เลยเป็นดังที่เห็น เท่านี้ก็พร้อมแล้วที่จะยังญี่ปุ่นในอาทิตย์หน้า

ก็ถ้าใครอยากดู Program Trip ที่ plan ไว้เต็มๆ ก็ click ดูที่รูปเลย จะเอาไปลองใช้จริง ก็ตามสบายนะครับ


วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ซื้อ JR Pass กันเถอะ

ว่าด้วย JR Pass มันคืออะไร หลายคนอาจจะไม่รู้จัก จริงๆ แล้วมันก็คือ ตั๋วที่เอาไว้ขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่น ได้อย่างไม่จำกัด แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง คือ รถไฟที่ขึ้นได้นะ มันต้องของบริษัท JR เท่านั้นนะ แต่จริงๆ แค่ JR ก็ครอบคลุมไปไหนมาไหนได้เกือบหมดในญี่ปุ่นแล้วแหละ อันนี้รวมถึงพวกรถไฟความเร็วสุดอย่างพวก Shinkansen ด้วย แต่ก็ไม่ใช่จะนั่งได้หมดทุกคันนะ พวกที่เร็วที่สุดที่เรียกว่า Nozomi จะขึ้นไม่ได้ เห็นมันดีขนาดนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ แค่ใช้ 7 วัน ก็ปาไปเกือบ 9,000 บาทละ ก็ต้องมานั่งดูว่าคุ้มไหมกับการซื้อ เพราะว่านอกจาก JR Pass แล้ว มันก็ยังมีตั๋วแบบอื่นๆ อีก เช่น Kansai Pass ที่เอาไว้นั่งอะไรก็ได้ทั้งหมดในจังหวัดแถบ Kansai อะไรพวกนั้น แต่เนื่องจากตารางที่แพลนไว้ ไม่ได้ไปแต่แค่ใน Kansai เพราะฉะนั้น ก็ซื้อ JR Pass นี่แหละ น่าจะคุ้มที่สุดแล้ว


แล้วจะซื้อที่ไหนได้ละสำหรับ JR Pass จากข้อมูลในหนังสือที่ซื้อมา แล้วก็ในเว็ป ก็บอกว่า JR Pass จะต้องซื้อจากต่างประเทศเท่านั้น ซื้อในญี่ปุ่นไม่ได้ ที่เป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นบัตรที่ให้เฉพาะชาวต่างชาติจริงๆ ในญี่ปุ่นเองเลยไม่มีขาย จริงๆ สิ่งที่เรากำลังจะไปซื้อก็เรียกว่า JR Pass ก็ไม่ถูกสักทีเดียว เพราะว่า สิ่งที่เราจะไปซื้อนี่มันคือ Exchange Order ซึ่งเราต้องเอาไอ้ Exchange Order นี้ไปแลกเป็น JR Pass ตัวจริงที่ญี่ปุ่นเอง

สำหรับในประเทศไทย ก็มีร้าน travel agency ที่สามารถออกตั๋วได้อยู่ประมาณ 10 ร้านได้ (ถ้าอยากดูว่ามีที่ไหนบ้าง ก็ดูได้ที่ link นี้ http://www.japanrailpass.net/05/en05_1.html) ซึ่งบางร้านก็ต้องซื้อเป็นเงินเยนเลย หรือบางร้านก็ซื้อด้วยเงินบาทไทยเลยก็ได้ จาก list ดูแล้วน่าจะสะดวกที่สุดก็คือ TV Air Booking เพราะมีสาขามากมาย แล้วก็อยู่ตามห้างต่าง แล้วนั่ง BTS ได้ด้วย ไปดูในเว็ป เขียนไว้ว่า 8,900 บาท สำหรับ Ordinary JR Pass แบบ 7 วัน ลองโทรไปถามเค้าก่อนว่า เท่าไหร่ ก็บอกว่า 8,700 บาท ซึ่งถูกกว่าถ้าคิดจากราคาเยน 28,300 เยน โอเค ไปซื้อเลยละกัน สาขา central ชิดลม ใกล้สุด รีบออกเดินทางจากที่ทำงาน เพื่อไปให้ถึงก่อน 1 ทุ่ม พอไปถึง

Me: จะซื้อตั๋ว JR Pass ครับ
TV Air Staff: จองไว้หรือป่าวคะ
Me: อ่อ ป่าวครับ
TV Air Staff: ถ้าไม่ได้จอง พรุ่งนี้ถึงจะออกตั๋วให้ได้นะคะ
Me: อ้าวหรอครับ โอเคๆ ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้มาเอาก็ได้
(ในใจ อ้าวแล้วไม่บอกกูละตอนที่คุยโทรศัพท์ว่า ต้องจองก่อน แล้วค่อยมารับอีกวัน ต้องวิ่งถ่อสังขารมาถึง central กลัวร้านปิด แม่ง)

หลังจากจองเสร็จ แจ้งชื่อภาษาอังกฤษ ซึ่งตรงกับใน Passport อันนี้สำคัญมาก ถ้าชื่อไม่ตรง ก็จะออกตั๋ว JR Pass ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ ต้องระวังให้ดี เสร็จ เรียบร้อย พนักงานจดไว้ใน(เศษ)กระดาษ แล้ววางแปะไว้กับกองกระดาษหน้าคีย์บอร์ดของเธอ ในใจก็นึกว่า มันจะปลิ้วหาย หรือโดนขยำทิ้งไปไหมวะเนี่ย

เย็นวันรุ่งขึ้น
วันนี้จะไปรับตั๋ว JR Pass แต่หลังจากสภาพของการจดจากพนักงาน TV Air Booking ก็เลยโทรเช็คก่อนดีกว่าว่าได้ตั๋วจริงๆ หรือป่าว ไม่งั้นจะต้องไปฟรีแบบเมื่อวานอีก โทรไปก็ได้ความว่า เรียบร้อยออกตั๋วให้แล้ว มารับได้เลยคะ โอเคตอนเย็นนั่งรถไฟฟ้าจาก office ไป central ชิดลม เพื่อรับ Exchange Order ไปถึง ก็บอกพนักงานที่กำลังวุ่นวายอยู่กับผู้คนที่มาซื้อตํวต่างๆ นานาว่า "มารับบัตร JR Pass ครับ" พนักงานก็สับสน พยายามหาตั๋วที่ออกไว้ให้ ได้ยินพนักงานบอกว่า พี่คนนึง เอาบัตรไป ในใจก็ อ้าว กูจะซวยอีกไหม TV Air มันจะมั่วอีกแล้วหรือป่าววะ ผ่านไป 5 นาทีในที่สุดก็เจอ คุณพนักงานก็อธิบายว่าเราต้องเอาใบนี้ไป แลกกับตั๋วจริงๆ ที่ญี่ปุ่น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็รู้อยู่แล้วแหละว่า มันจะเป็นยังไง จากหนังสือที่อ่านมา แถมยังบอกผิดอีกว่า แลกวันไหน ใช้วันนั้นเลย ซึ่งจริงๆ มันบอกเค้าได้ว่าจะใช้วันไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นวันเดียวกับวันที่แลก มั่วมาก

สรุปก็ได้รับ Exchange Order มา 1 ใบรูปร่างหน้าตา เหมือนกับตั๋วเครื่องบินเลยแหะ

credit picture from http://www.japanrailpass.net/

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มาแพลนโปรแกรมไปญี่ปุ่น กันดีกว่า

2 วันผ่านไป
วันนี้ผลวีซ่าออกละ ไปรับ passport กลับมาได้ ตอนนั้น ติดงานต้องไปอยู่ site ลูกค้าทั้งวัน ก็เลยฝากป๊าไปช่วยเอาวีซ่า แล้วก็จ่ายเงินค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า 980 บาทให้หน่อย แล้วก็โทรไปถามว่าเป็นไงได้ไหมวีซ่า ก็ปรากฏว่าได้แล้ว โอเค เรียบร้อยไปอย่างละ ลองโทรไป United ดีกว่าว่า cliam mile ได้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่า เคลมได้เลยคะ ตามปกติ โห ได้ไมล์มาด้วย เยี่ยมๆ

ตกเย็นก็เอา passport มาดู ก็ได้เป็นแบบ Single Entry เข้าไปอยู่ได้ 90 วัน ตั้ง 90 วัน จริงๆ น่าจะไปอยู่ได้เท่านั้นนะ แต่อย่างที่บอกกลับมาคงจะได้ซองขาววางไว้ให้แน่ๆ

ในเมื่อวีซ่าพร้อม ตั๋วพร้อม ก็มาแพลนหาข้อมูลกันดีกว่าว่าจะไปไหนดี ตอนแรก blank มากไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แต่ที่รู้แน่ๆ คือ จะต้องไป โตเกียว, เกียวโต, นารา แล้วก็โอซาก้า แต่ก็ไม่มีข้อมูลไรเลยว่าแต่ละที่นะมีไรบ้าง นึกได้ว่า นานันมันก็ไปมา เมื่อ 2 เดือนก่อน ลองโทรไปถามมันดีกว่า เผื่อมันจะแนะนำได้ โทรไปก็ได้ความว่า มันซื้อหนังสือมา 2 เล่ม แล้วมีเล่มนึงดีมาก ขนาดภูริที่อยู่นู้นยังชม มันบอกว่า ปกสีชมพูอะไรสักอย่าง ชื่อ หนังสือประมาณเที่ยวไม่ง้อทัวร์ ไรงี้ ก็เลยแวะไป B2S ดูหนังสือ ก็ลองไปอ่านๆ นั่งเลือกอยู่พักใหญ่ แล้วก็ได้มา 2 เล่ม ก็คือ "เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยญี่ปุ่น 2" และ "เที่ยวเองได้ง่ายๆ สบายกระเป๋าสตางค์ สไตล์ พี่วุฒิ&พี่เคท" จริงๆ หนังสือ สองเล่มนี้ก็ไม่ค่อยจะตรงสักเท่าไหร่หรอก แต่ก็เอามา Reference ได้แหละ กลับมาบ้าน นั่งอ่าน พยายามอ่านดูว่า แต่ละจังหวัดของญี่ปุ่นนะ มีที่ไหนเที่ยวบ้าง นั่งอ่านไปเรื่อยๆ ก็ได้ข้อมูลต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถไฟ บัตร JR Pass แล้วก็สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ในหนังสือก็แนะนำให้ไปเอาพวก เอกสารต่างๆ รวมทั้งแผนที่ต่างๆ ที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ที่อาคารรามาแลนด์ ใกล้ๆ สีลม เนื่องจากมันต้องไปเอาเวลางาน ก็เลยต้องฝากให้ป๊าที่แสนดี ไปขอมาให้หน่อย ตามเคย เอกสารที่ได้มาเนี่ย แนะนำเลยว่าถ้าใครจะไปญี่ปุ่นให้ไปเอามาศึกษาก่อน เอกสารที่แนะนำ คือ แผนที่ของเมืองที่จะไป แล้วก็ตารางเวลารถไฟ เอกสารพวกนี้มีประโยชน์มาก แม้ว่าเราจะหา tourist information ได้ง่ายๆ ในญี่ปุ่น (เห็นคนอื่นเค้าพูดกัน แต่ตอนไปไง เจออยู่ไม่กี่อันก็ไม่รู้) แต่ถ้าเราหาไม่เจอละ จะทำไง อย่างน้อยเราก็มีแผนที่อยู่ในเมืองอยู่แล้ว จริงไหม

นอกจากหนังสือ แล้วก็เอกสารต่างๆ ก็ได้รับความกรุณาจากพี่ๆ ทั้งหลายในบริษัทที่แนะนำ แล้วก็ให้ยืมหนังสือต่างๆ มากมาย ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

พอได้ไอเดียมาบ้างว่า มีที่ไหนน่าสนใจเที่ยวบ้าง ก็ลองคุยกับภูริ (หลายรอบ) ว่า ไปไหนดี มีไรแนะนำบ้าง รวมกับหาข้อมูลจากเว็ป ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น http://www.japantravelinfo.com/ หรือ http://www.japan-guide.com/ แล้วจริงๆ มีเว็ปที่อยากจะแนะนำมากๆ นั่นก็คือ http://grace.hyperdia.com/cgi-english/hyperWeb.cgi เป็นเว็ปที่เอาไว้ search ว่าเราจะไปสถานีรถไฟไหนก็ได้ในญี่ปุ่น แล้วจะออกกี่โมง กรอกๆ ไป แล้วมันจะคิดเส้นทางมาให้ว่าเราควรเดินทางยังไง ขอแนะนำเลยว่าเว็ปนี้ ช่วยคุณได้แน่ๆ

ก่อนจะไป ก็ไปเจอหนังสืออีกเล่ม ชื่อว่า "ใครๆ ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่น" เล่มนี้ตรงมากๆ แล้วก็เขียนได้ค่อนข้างดีมาก ตรงใจสุดๆ

จากข้อมูลเบื้องต้น ก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปเมืองต่างๆ ดังนี้
  • Tokyo
  • Himeji
  • Hiroshima
  • Osaka
  • Kyoto
  • Nara
  • Kamakura

ขอวีซ่าญี่ปุ่นกันดีกว่า

พอได้รับ approval จากที่ทำงานมา ก็ไปขอวีซ่ากันเลยดีกว่า ว่าแต่ วีซ่า ญี่ปุ่นนี่มันขอที่ไหน แล้วต้องทำไงกันเนี่ย จากประสบการณ์ที่เคยไปขอวีซ่าไปอเมริกาคราวก่อน ที่ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนเลย แล้วพอไปถึงก็วุ่นวายมากคราวนั้น ว่าแล้วก็ปรึกษานี่เลย google ช่วยท่านได้แน่ๆ หาด้วย keyword สุดง่ายว่า วีซ่า ญี่ปุ่น ก็ได้มาเลย เว็ปของสถานทูตญี่ปุ่น มีบอกไว้หมดว่า อยากขออะไร ต้องใช้อะไรบ้าง รายละเอียดครบถ้วน โอเจ๋ง ใครอยากไปญี่ปุ่น ก็ click เข้าไปดูที่เว็ปนี้เลย มีให้ท่านทุกอย่าง http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm

วันรุ่งขึ้น ให้ HR ที่บริษัทช่วยออกเอกสารรับรองให้ ส่วนเอกสารอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร แต่เผอิญจะขอวีซ่าแบบไปเยี่ยมเพื่อนนะซิ มันต้องใช้เอกสารพวกสำเนา passport เพื่อน จดหมายรับรองความสัมพันธ์ว่า รู้จักกันมากี่ปี รู้จักกันที่ไหน อะไรยังไง ทำอย่างกับต้องเล่าชีวิตให้ฟังในจดหมาย ดีที่ได้ต้นแบบมาจาก ภูริ ส่วนไอ้พวก passport ก็ให้ภูริถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ ก็ใช้ความสามารถด้าน photoshop เล็กน้อยตัดภาพให้ดูเหมือนส่งมาจาก fax ไรงี้ แล้วด้วย คุณสมบัติ ของ printer laser ที่ได้รับมรดกจาก โปรเจ็คก่อน ก็ช่วยให้ passport ที่ print ออกมาเหมือนสำเนา ที่ xerox มาอย่างไม่น่าเชื่อ ยังงงอยู่ว่าออกมาได้ขนาดนี้ได้ยังไง เอาเป็นว่า โอเค เรียบร้อย เอกสาร พร้อม เหลือแค่ไปยื่นเรื่องขอ เท่านั้น

วันต่อมา ขอเข้าทำงานช้าเล็กน้อย เพื่อเดินทางไปขอวีซ่าที่สถานทูตญี่ปุ่น ตรงถนนวิทยุ ข้างๆ สวนลุม สำหรับใครที่จะเอารถไปก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตัวสถานทูตมีที่จอดรถให้พร้อม ไม่เหมือนของเมกา ที่ป้องกันอย่างกับคุก อะไรก็ไม่ให้เอาเข้า มือถือหรืออะไรก็ยืดไว้หมด กลัวไปกดระเบิดข้างในหรือยังไงก็ไม่ทราบ กลับมาที่สถานทูตญี่ปุ่น ก็เดินเข้าไป ก็มี สแกนโลหะ ไรงี้ตามระเบียบ แต่ว่า ก็ไม่ไร พอเข้าไป ก็รู้สึกบรรยากาศแตกต่างกับข้างนอก มีห้องกระจก 2 ห้อง ตอนแรกก็งงว่า ซ้ายหรือขวาดี อึ้ง 2 วินาที เห็นป้ายบอกขอวีซ่าทางนี้ ก็เลยเดินไปเลย มันคือห้องด้านขวานี่เอง เข้าไปอย่างแรกที่เห็นคือ มี counter แบบสถานทูตเมกา แล้วก็มีคนรออยู่จำนวนนึง แล้วก็ได้ยินเสียง "เบอร์ 405 เชิญช่อง 1 คะ" อ้าวแล้วกูเบอร์ไรนะ มันต้องกดบัตรคิวนะซิ แล้วมันอยู่ไหน มองไปมองมา เห็นเครื่องกดบัตรคิว ตั้งอยู่แบบไม่เด่นทางซ้ายของห้อง เดินไปมีปุ่ม ประมาณ 2-3 ปุ่ม กดอันไหนดี อ่านๆ ขอวีซ่ากด A โอเค กด A ได้บัตรคิวมา 1 ใบ จำไม่ได้ว่าเบอร์อะไร แต่จำได้ว่า ห่างจากเบอร์ที่เรียกๆ กันอยู่ 10 กว่าเบอร์ได้ เฮ่อ รอก็รอวะ จะให้ทำไงได้ หยิบ iPhone มาฟังละกัน ระหว่างรอก็สังเกตุรอบๆ ห้อง ส่วนใหญ่นี่เค้ามาเป็นคู่ๆ เป็นครอบครัว จะบุกเดี่ยวจะไหวไหมเนี่ย นอกนั้นก็สังเกตุ ว่า counter มี 2 อัน คือ อันแรก เสียงตามสายจะเรียกให้เราเข้าไป เหมือนไปยื่นเอกสารไรสักอย่าง เสร็จก็กลับมานั่งรอต่อ แล้ว คนใน counter อีกอันก็จะเรียกผ่านไมค์ เข้าไปทำไรสักอย่าง แล้วก็จะเสร็จ ฟังเพลงหมดไป 4-5 เพลง เสียงตามสายก็เรียกขึ้นมา ไป counter เลยละกัน เข้าไปถึงเป็นพนักงานผู้หญิง หน้าตาดูจีน แต่พูดไทยเหมือนจะไม่ชัด คิดว่าคงพูดญี่ปุ่นจนลิ้นไปทางญี่ปุ่นแล้ว ก็ยื่นๆ เอกสารที่เตรียมไปให้ ตอนแรกก็นึกว่าจะสัมภาษณ์แบบโหดแบบอเมริกา แต่เอาเข้าจริง ถามอยู่คำถามเดียวว่า เพื่อนทำไรอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็บอกว่าเรียน แล้วถามว่าเรียนที่ไหน ทุกทีจะพูดคำว่า Todai ซึ่งมันก็คือ คำเรียกสั้นๆ แบบภาษาญี่ปุ่น ของมหาลัยโตเกียว จำคำที่เป็นทางการไม่ได้ ก็เลยอึ้งไปพักนึง แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี ก็เลยบอกไปเลยว่า Todai เจ๊แกเลย อ๋อ มหาลัยโตเกียว แล้วก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นไป ไรงี้ แค่นี้ เสร็จ ก็งงอ้าว เสร็จแล้วหรอ เลยถามเค้าว่าเรียบร้อยนะ เค้าก็โอเคคะ ก็ออกมานั่งรอแบบงงว่า เร็วดีแหะ นั่งรอสักพัก counter 2 ก็เรียกไป บอกว่าอีก 2 วันมารับ passportแล้วรู้ผลนะ มาถึงให้กดตัว B รับบัตรคิว ให้มาตอน บ่ายไรงี้ จะให้ใครมาเอาก็ได้ โอเค great ให้ใครมาเอาก็ได้เนี่ย เสร็จออกมา

ก็ให้ป๋า ช่วยโทรไปหาอี๊วิไลว่าจองตั๋วให้หน่อย เพราะยังไงจองตั๋วมันให้ชำระเงินภายใน 7 วัน ไม่ว่าอะไร วีซ่าจะได้หรือไม่ได้ ก็อีกแค่ 2 วัน เพราะฉะนั้น จองตั๋วก่อนดีกว่า เดี๋ยวอดไป

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คิดจะไปเที่ยวญี่ปุ่น

พูดถึงญี่ปุ่น เป็นประเทศที่อยากไปมาแต่เนิ่นนานมากแล้ว ตั้งแต่พอรู้ความว่า ต่างประเทศเป็นยังไง ไม่รู้เป็นเพราะอิทธิพลของการ์ตูนที่ได้ดูตั้งแต่เด็กๆ ด้วยหรือป่าว ทำให้อยากไปญี่ปุ่น ประกอบกับคุยกับภูริแล้ว เห็นบอกว่าจะเรียนจบกันยาที่จะถึงนี้แล้ว คงต้องรีบไปแล้วแหละ ไม่งั้นจะไม่มีที่อยู่ฟรี ให้พักอีก งั้นมาเริ่มวางแผนกันดีกว่า

มกราคม 2008
ตอนแรกแพลนว่าจะไปช่วงเดือนเมษา ที่มีดอกไม้ผลิ ซากุระบานสะพรั่ง แล้วด้วยความประหยัดมี mile เดินทางของ United อยู่ 20,000 กว่าไมล์ที่ได้จากการไป New York กับ MTV เมื่อ 2 ปีก่อน แล้ว 20,000 ไมล์นี้ สามารถไปญี่ปุ่นได้พอดี ทั้งๆ ที่สายการบินอื่นต้องใช้ถึง 40,000 ไมล์ถึงจะบินไปญี่ปุ่นได้ แต่แล้วลืมนึกไปว่าเมษานี่มันช่วง High Season นี่หน่า พอลอง search ไปก็พบว่า อ้าวเต็มๆๆๆๆ แล้วก็เต็ม ถ้าอยากจะไปด้วยไมล์นี่ต้องไปตอนสิ้นมีนา แล้วกลับมาพฤษภา นั่นก็คือ ลางานแค่เดือนเดียวเอง เหอๆๆ กลับมาสงสัยเจอซองขาววางไว้แน่ๆ หาช่วงอื่นละกัน ก็ลองเปิดไปเปิดมาบนเว็ป United ก็เจอ Promotion 9,990 บาท ไม่รวม tax และอื่นๆ แต่ต้องไปภายในวันที่ 29 กุมภา แล้วกลับภายใน 31 มีนานี้ เอาวะ เปิดปฏิทิน มีช่วงไหนมีวันหยุดบ้าง จะได้ประหยัดวันหยุดที่จะใช้ และแล้วก็เจอวันที่ 21 กุมภา วันมาฆบูชา โอเคงั้นเอาเป็นไป 16 กุมภา กลับ 24 กุมภาละกัน 9 วัน หยุดไม่กี่วัน โอเค done พรุ่งนี้ฝากถาม agent ว่ามีตั๋วหรือป่าว

วันรุ่งขึ้น
ให้ม้าโทรไปถามอี๊วิไลว่า มีตั๋วไหม ปรากฏว่า มีแต่ตั๋วกลับวันที่ 24 กุมภา แต่ตั๋วไปวันที่ 16 กุมภาเนี่ยเต็มหมดแล้ว จะมีก็วันที่ 15 กุมภาแทน แล้วถามเรื่อง claim mile ได้หรือป่าว ก็ได้คำตอบว่าต้องไป check กับทาง United เอง ราคาตั๋วทั้งหมด รวม tax ภาษีทั้งหลายแหล่แล้วก็ทั้งสิ้น 17,500 บาทพอดิบพอดี ไม่ขาดไม่เกิน ก็โอเค ไม่แพง ถ้าไปเมษานี่ 2 หมื่นขึ้นแน่ ก็เอาวะ ไปอันนี้แหละ

วันต่อมา
ไปถามพี่ๆ ที่ทำงานว่า ถ้าจะไปช่วงนี้ จะโอเคไหม จะได้ดำเนินการขอวีซ่าต่อไป ตามลำดับ ก็ได้รับคำตอบว่า โอเค ไปได้ แต่ก็ตามแบบฉบับ เมื่อใดที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ ก็จะมีนั้นมีนี่มาให้พี่ๆ ทำดังห่าฝน ก็หวังว่าคราวนี้คงจะไม่มีอะไรแบบนั้นอีกนะ ในเมื่อทุกคนโอเค ก็ทำเรื่องลาในระบบให้เป็นทางการดีกว่า จะได้เป็นทางการเลย