วันรุ่งขึ้น ให้ HR ที่บริษัทช่วยออกเอกสารรับรองให้ ส่วนเอกสารอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร แต่เผอิญจะขอวีซ่าแบบไปเยี่ยมเพื่อนนะซิ มันต้องใช้เอกสารพวกสำเนา passport เพื่อน จดหมายรับรองความสัมพันธ์ว่า รู้จักกันมากี่ปี รู้จักกันที่ไหน อะไรยังไง ทำอย่างกับต้องเล่าชีวิตให้ฟังในจดหมาย ดีที่ได้ต้นแบบมาจาก ภูริ ส่วนไอ้พวก passport ก็ให้ภูริถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ ก็ใช้ความสามารถด้าน photoshop เล็กน้อยตัดภาพให้ดูเหมือนส่งมาจาก fax ไรงี้ แล้วด้วย คุณสมบัติ ของ printer laser ที่ได้รับมรดกจาก โปรเจ็คก่อน ก็ช่วยให้ passport ที่ print ออกมาเหมือนสำเนา ที่ xerox มาอย่างไม่น่าเชื่อ ยังงงอยู่ว่าออกมาได้ขนาดนี้ได้ยังไง เอาเป็นว่า โอเค เรียบร้อย เอกสาร พร้อม เหลือแค่ไปยื่นเรื่องขอ เท่านั้นวันต่อมา ขอเข้าทำงานช้าเล็กน้อย เพื่อเดินทางไปขอวีซ่าที่สถานทูตญี่ปุ่น ตรงถนนวิทยุ ข้างๆ สวนลุม สำหรับใครที่จะเอารถไปก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตัวสถานทูตมีที่จอดรถให้พร้อม ไม่เหมือนของเมกา ที่ป้องกันอย่างกับคุก อะไรก็ไม่ให้เอาเข้า มือถือหรืออะไรก็ยืดไว้หมด กลัวไปกดระเบิดข้างในหรือยังไงก็ไม่ทราบ กลับมาที่สถานทูตญี่ปุ่น ก็เดินเข้าไป ก็มี สแกนโลหะ ไรงี้ตามระเบียบ แต่ว่า ก็ไม่ไร พอเข้าไป ก็รู้สึกบรรยากาศแตกต่างกับข้างนอก มีห้องกระจก 2 ห้อง ตอนแรกก็งงว่า ซ้ายหรือขวาดี อึ้ง 2 วินาที เห็นป้ายบอกขอวีซ่าทางนี้ ก็เลยเดินไปเลย มันคือห้องด้านขวานี่เอง เข้าไปอย่างแรกที่เห็นคือ มี counter แบบสถานทูตเมกา แล้วก็มีคนรออยู่จำนวนนึง แล้วก็ได้ยินเสียง "เบอร์ 405 เชิญช่อง 1 คะ" อ้าวแล้วกูเบอร์ไรนะ มันต้องกดบัตรคิวนะซิ แล้วมันอยู่ไหน มองไปมองมา เห็นเครื่องกดบัตรคิว ตั้งอยู่แบบไม่เด่นทางซ้ายของห้อง เดินไปมีปุ่ม ประมาณ 2-3 ปุ่ม กดอันไหนดี อ่านๆ ขอวีซ่ากด A โอเค กด A ได้บัตรคิวมา 1 ใบ จำไม่ได้ว่าเบอร์อะไร แต่จำได้ว่า ห่างจากเบอร์ที่เรียกๆ กันอยู่ 10 กว่าเบอร์ได้ เฮ่อ รอก็รอวะ จะให้ทำไงได้ หยิบ iPhone มาฟังละกัน ระหว่างรอก็สังเกตุรอบๆ ห้อง ส่วนใหญ่นี่เค้ามาเป็นคู่ๆ เป็นครอบครัว จะบุกเดี่ยวจะไหวไหมเนี่ย นอกนั้นก็สังเกตุ ว่า counter มี 2 อัน คือ อันแรก เสียงตามสายจะเรียกให้เราเข้าไป เหมือนไปยื่นเอกสารไรสักอย่าง เสร็จก็กลับมานั่งรอต่อ แล้ว คนใน counter อีกอันก็จะเรียกผ่านไมค์ เข้าไปทำไรสักอย่าง แล้วก็จะเสร็จ ฟังเพลงหมดไป 4-5 เพลง เสียงตามสายก็เรียกขึ้นมา ไป counter เลยละกัน เข้าไปถึงเป็นพนักงานผู้หญิง หน้าตาดูจีน แต่พูดไทยเหมือนจะไม่ชัด คิดว่าคงพูดญี่ปุ่นจนลิ้นไปทางญี่ปุ่นแล้ว ก็ยื่นๆ เอกสารที่เตรียมไปให้ ตอนแรกก็นึกว่าจะสัมภาษณ์แบบโหดแบบอเมริกา แต่เอาเข้าจริง ถามอยู่คำถามเดียวว่า เพื่อนทำไรอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็บอกว่าเรียน แล้วถามว่าเรียนที่ไหน ทุกทีจะพูดคำว่า Todai ซึ่งมันก็คือ คำเรียกสั้นๆ แบบภาษาญี่ปุ่น ของมหาลัยโตเกียว จำคำที่เป็นทางการไม่ได้ ก็เลยอึ้งไปพักนึง แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี ก็เลยบอกไปเลยว่า Todai เจ๊แกเลย อ๋อ มหาลัยโตเกียว แล้วก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นไป ไรงี้ แค่นี้ เสร็จ ก็งงอ้าว เสร็จแล้วหรอ เลยถามเค้าว่าเรียบร้อยนะ เค้าก็โอเคคะ ก็ออกมานั่งรอแบบงงว่า เร็วดีแหะ นั่งรอสักพัก counter 2 ก็เรียกไป บอกว่าอีก 2 วันมารับ passportแล้วรู้ผลนะ มาถึงให้กดตัว B รับบัตรคิว ให้มาตอน บ่ายไรงี้ จะให้ใครมาเอาก็ได้ โอเค great ให้ใครมาเอาก็ได้เนี่ย เสร็จออกมา
ก็ให้ป๋า ช่วยโทรไปหาอี๊วิไลว่าจองตั๋วให้หน่อย เพราะยังไงจองตั๋วมันให้ชำระเงินภายใน 7 วัน ไม่ว่าอะไร วีซ่าจะได้หรือไม่ได้ ก็อีกแค่ 2 วัน เพราะฉะนั้น จองตั๋วก่อนดีกว่า เดี๋ยวอดไป

1 ความคิดเห็น:
ละเอียดมากอะ
แสดงความคิดเห็น