แยกจากภูริหลังจากกิน sushi ที่ Shibuya ก็ไปเก็บตก Tokyo กันต่อ ตอนนี้เราจะไปต่อกันที่ Harajuku คราวก่อนที่ไปกับพี่ต้า ยังไม่เจอคนแต่งตัวแปลกๆ แรงๆ เลย ภูริบอกว่าต้องไปดูที่สะพานหน้าวัด Meiji ยังไงก็จะไปที่วัดนี้อยู่แล้ว ก็คงจะได้เห็นกันซะที จาก Shibuya นั่งรถไฟ JR เจ้าเก่าไปลงสถานี Harajuku เดินไปยังหน้าสถานีก็จะเจอแล้ว สะพานหน้าวัด Meiji ก็มองไปมองมา ทำไมไม่มีใครแต่งตัวประหลาดเลยเนี่ย เห็นแต่ชายวัยกลางคน ยืนร้องเพลงกับวิทยุอยู่คนเดียว อะไรเนี่ย ผิดหวังเสียจริง ช่างมันลองเข้าวัดก่อนละกัน
พอเดินเข้าวัด Meiji จากบรรยากาศที่เป็นเมือง มองเห็นตึกเยอะแยะ มีรถวิ่ง กลายเป็น ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในป่าเลย ตอนนี้จะเดินอยู่บนถนนกรวดกว้างๆ มีผู้คนเดินเต็มไปหมดเลย ไม่รู้ว่าเพราะเป็นวันเสาร์หรือป่าว คนเลยเยอะ เดินเข้าไปก็จะเจอกับเสาโทริขนาดใหญ่เป็นระยะๆ เดินพอควรถึงจะถึงตัววัดจริงๆ ที่วัด Meiji นี้ไม่เสียเงินค่าเข้าเหมือนวัดอื่นๆ พอไปถึงตัววัด อย่างแรกที่เห็นคือ มีคู่บ่าวสาวชาวญี่ปุ่น แต่งตัวเต็มยศกำลังถ่ายรูปกันอยู่ มีช่างกล้อง แม่ยก อะไรพร้อมสรรพ เดินไปอีกนิดก็เจออีกคู่ วัดนี้เนี่ยเป็นที่จัดงานแต่งงานเนี่ยเอง ก้าวเข้าไปภายในวัด ก็จะคล้ายๆ กับวัดอื่นๆ มีที่ให้ไหว้เจ้าสักการะ มีต้นไม้ไว้ให้แขวนป้ายเพื่อศิริมงคล อะไรประมาณนั้น ชื่นชมกับบรรยากาศภายในวัดได้สักพัก เป็นโชคดีที่มีขบวนคู่บ่าวสาวกำลังแห่มาพอดี ของเค้าไม่เหมือนบ้านเราที่จะมีกลองยาว แห่ โห่ ฮี้ว กันนะ ของที่ญี่ปุ่นนี้จะมีพระนำหน้า แล้วตามด้วยคู่บ่าวสาว และขบวนญาติๆ เพื่อนสนิท อีกพอประมาณ จะเงียบๆ คงเพราะอยู่ในวัดด้วยแหละ
สมควรแก่เวลาที่เราจะกลับออกไป ตอนนี้บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว ท้องฟ้าค่อนข้าวสลั่วๆ มืดๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีลมแรงมากพัดเข้ามาในวัด หิน กรวดอะไรปลิวกระจายหมดเลย ทำเอาทุกคนในวัดตกอกตกใจกันหมด ต้องไปยืนหลบตามมุมกำแพงของวัดกัน เกิดมาเพิ่งเคยเจอลมแรงขนาดนี้เนี่ย น่ากลัวจริงๆ พอลมหยุดพัด ก็กลับออกจากวัด ระหว่างทาง ท้องฟ้าก็ยังคงมืดครึ้มอยู่ตลอด ออกมาถึงข้างนอกวัด ก็ยังไม่เจอผู้คนแต่งตัวประหลาดอีกเช่นเคย แย่จัง สงสัยจะไม่เห็นละ เราไปเก็บตกกันต่อดีกว่า จากหนังสือและข้อมูลที่ได้ไปอ่านมา ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ไปชมวิวมุมสูงกันที่ Tojo Building (Tokyo Metropolitan Government) ซึ่งอยู่ที่ Shinjuku ก็เลยนั่งรถไฟ JR ไปยังสถานี Shinjuku ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
ไปถึงสถานี Shinjuku ก็งงว่าจะไปทางไหนดี เอาแผ่นที่มากาง ปรากฏว่ามันอยู่ไกลมากเลยแหะ จากในแผ่นที่ ก็เดินๆ ตามไป เดินไปได้สักพัก เอ๊ะ ทำไมไม่ถึงซะที หลงอีกหรือป่าวเนี่ย ไม่มั่นใจแหะ เดินกลับไปตั้งต้นที่สถานีใหม่ดีกว่า โอเคไปถึงสถานี เดินวน 1 รอบ อันนั้นป้ายบอก Tojo Building เดินตามไปได้ 2 ป้าย ป้ายก็หายไป อ้าว ไปไหนแล้ว ทำไงดี ตอนนี้ใช้วิธีเดา Tojo Building มันเป็นตึกสูงๆ เพราะฉะนั้นน่าจะอยู่ด้านตึกสูงๆ มองไปมองมาก็เห็นแต่แถว Takashimaya ที่มีแต่ตึกสูงๆ และใกล้สถานีสุด โอเคเดินไปทางนั้นละกัน เดินไปถึงก็ เจอป้ายอธิบายตึกต่างๆ แถว Shinjuku ว่ามีตึกอะไรบ้าง โอเค Tojo Building อยู่ไหนเอ่ย ปรากฏว่าไอ้ทางแรกที่เดินไปนะ ถูกแล้ว แต่ต้องเดินต่อไปอีก อ้าวห่า เดินกลับ
ในที่สุดก็ถึง Tojo Building ซึ่งเดินหาซะนาน เข้าไปก็มีป้ายบอกว่าจะชมวิวด้าน East หรือ West ดี รู้สึกว่าประตูมันเปิดแต่ด้าน East โอเค เข้าไปละกัน ก่อนหน้าก็มีคู่ชายหญิงเดินเข้าไปก่อน ก็มียามมาพูดๆ อะไรกับคู่นี้เค้าก็ไม่รู้ แล้วรู้สึกหน้าตาผิดหวังออกมา ก็ไม่สนใจ ก็เลยเดินเข้าไปเลย ก็หา เอ๊ะ เราต้องขึ้นไปทางไหนนะถึงจะได้ดูวิว ก็ลองเดินๆ ดู ที่ชั้น 1 ตึกนั้นก็จะมี booth ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ เราสามารถไปหยิบแผ่นที่ เอกสารท่องเที่ยวต่างๆ ได้ ก็ไปหยิบ แล้วก็มานั่งพักสักครู่ และสังเกตุได้ว่า ทุกคนเข้ามาแล้วยามก็บอกอะไรสักอย่าง เลยไปเดินเล็งๆ ดู ปรากฏว่า วันนี้ปิด ขึ้นไปชมวิวไม่ได้ อ้าวห่า (อีกแล้ว) เสียเที่ยวจริงๆ พักให้หายอึ้งและหายเหนื่อย ก็ออกมากลับเพื่อกลับไปยังร้าน Gap ที่ Harajuku ที่นัดภูริเอาไว้ ระหว่างทางก็ผ่านกับ Family mart ก็เลยแวะซื้อซุปข้าวโพดกระป๋องแสนอร่อยกิน
กลับมาเจอภูริที่ Harajuku ก่อนอื่นก็ขอซื้อ crape กินก่อนดีกว่า ภูริก็พาเดินดูร้านขายเสื้อผ้า แถวนั้น ตลอดทางเดินกลับ Shibuya ซึ่งใกล้กันมากระหว่าง Shibuya กับ Harajuku เย็นนี้เราไปกินข้าวกันที่ร้านแกงร้านนึงใน Shibuya เป็นร้านที่ต้องลงไปใต้ดินของตึก จำชื่อร้านไม่ได้ละ รู้สึกจะเป็นร้านยอดนิยมร้านนึง เพราะว่ามีคนเยอะเหมือนกัน บรรยากาศในร้านก็ประมาณ เหมือนกินข้าวในบ้านของชาวยุโรป อะไรประมาณนั้น เมนูก็เป็นแกงประเภทต่างๆ ราดกับข้าว ซึ่งก็อร่อยดี กินเสร็จก็ดูของกันต่ออีกสักพัก และแวะจุดสุดท้าย ร้าน Donki เพื่อซื้อขนม ของฝากกลับ วันนี้ก็หมดแล้ว พรุ่งนี้จะต้องกลับไทยแล้ว เศร้า
วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551
วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551
เก็บตก Tokyo (1)
23 กุมภา
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเต็มๆ วันแล้ว ก็เลยขอเก็บตก Tokyo สถานที่ต่างๆ ที่ยังไม่ได้ไป ตื่นมาแต่เช้า ทิ้งภูรินอนอยู่ที่บ้าน ออกไปเก็บตกกันก่อน ที่แรกที่จะไป ก็คือ Asakusa ย่านนี้เป็นย่านชื่อดังที่รู้จักกันทั่วไปสำหรับชาวต่างชาติที่จะไปเที่ยว Tokyo การเดินทางก็ไม่ลำบากนั่งรถไฟ subway จากสถานี Shibuya ไปลงสถานี Asakusa พอขึ้นจากสถานี ก็จะเจอกับประตูและโคมอันยักษ์อันแรก ซึ่งโคมนี้ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของที่นี้เลยก็ว่าได้ พอผ่านประตูเข้าไปก็จะเป็นถนน Nakamise ที่มุ่งสู่วัด Sensoji ซึ่ง 2 ข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก ของกินมากมาย ตอนนี้ผู้คนเยอะมาก น่าจะเพราะว่าเป็นวันเสาร์ด้วย คนเลยเยอะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นร้านขายดังโงะ คลุกถั่ว หรือเกาลักอะไรสักอย่าง ลองซื้อมากินก็โอเคใช้ได้ เหนียวๆ หวานๆ เดินต่อไปสักพัก ก็เจอร้านเซ็มเบ้ ก็ลองซื้อมากิน เป็นรสโขยุ คือ เอาเซมเบ้ ที่เพิ่งปิ้งเสร็จ มาจิ้มในโชยุ แค่นั้น ก็กรอบๆ เค็มๆ ไม่มีอะไรพิเศษ เดินไปเรื่อยๆ จนสุด ก็จะเจอกับประตูอีกอันนึง ซึ่งก็มีโคมไฟยักษ์ห้อยอยู่เช่นกัน พอผ่านประตูนี้ก็จะเข้าสู๋วัด Sensoji แล้ว ในวัดก็จะมีเจดีย์สูงทางด้านซ้าย พอเดินเข้าไปก็จะเจอกับกระถางธูปกับผู้คนที่รุมพัดควันธูปเข้าหาตัว เมื่อเห็นอย่างนั้น ก็วิ่งไปพัดบ้าง เพื่อสิริมงคล (มั้ง) ทางด้านขวาของกระถางธูป ก็เป็นที่ใช้ชำระล้างมือกันแบบวัดอื่นๆ ในญี่ปุ่น เค้าก็มีรูปสอนว่า เราต้องทำยังไง
1. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือซ้าย
2. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือขวา
3. ตักน้ำขึ้นมา บ้วนปาก
เป็นอันเสร็จ พร้อมที่จะขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมองค์ 5 นิ้วที่วัดนี้แล้ว มาขึ้นไปบนวิหารวัด ก็จะเจอกับโคมไฟยักษ์อีกแล้ว พอเข้าไปเราจะเห็นกับองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ไกลๆ ก็กราบไหว้ ขอพร ตามสะดวก ออกจากวิหารกลาง มาเดินทางด้านซ้ายของวิหาร ก็จะเป็นสวน ในสวนก็จะมีพวกเทวรูป ศาลเล็กให้ได้ไหว้เช่นกัน จากจุดนี้เราจะมองเห็นสวนสนุกซึ่งอยู่ข้างๆ วัดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 10 โมงเลย เดินถ่ายรูปชิวๆ ได้อีก เดินมาทางด้านขวาของวิหารบ้าง ด้านนึ้ก็จะมีศาลอีกเช่นกัน แล้วก็มีระฆังด้วย ควรแก่เวลา กลับกันดีกว่าต้องกลับไปที่ Shibuya เพื่อกิน Sushi ร้านแนะนำของภูริดีกว่า เดินกลับสถานี Asakusa ที่สถานีก็มีเอาเกี้ยวที่เอาไว้ใช้แห่มาโชว์ไว้ด้วย จากสถานี Asakusa ก็จะนั่ง subway ไปลงสถานี Shibuya พอถึงสถานียังเห็นยังเร็วกว่าเวลานัด คือ 11 โมง ก็เลยขอหามุมถ่ายรูป 5 แยก Shibuya อันเลื่องชื่อสักหน่อย พอถ่ายเสร็จก็เดินไปที่ร้านที่จะกิน Sushi กัน ผลปรากฏว่า คิวของคนมาต่อกันยาวมากๆๆๆ ตอนนี้ภูริยังไม่มา ก็เลยไปยืนต่อก่อน ต่อไปได้สักพัก ภูริก็มาถึง เนื่องจากภูริต้องไปสัมภาษณ์งานต่อ ตอนบ่าย ซึ้งเล็งเห็นว่าถ้ารอเนี่ย ต้องไม่ทันแน่ๆ เลยเปลี่ยนใจ ไปกิน sushi ร้านยืนกินกันแทน
ไปถึงก็ไปยืน พนักงานเค้าก็จะเอาใบไม้ รู้สึกจะเป็นใบไผ่ มาวางข้างหน้าเรา ก็คือ พอเราสั่งเสร็จ เค้าก็จะทำซูชิมาวางบนใบนี้ ก็กินไปหลายอย่างเหมือนกัน อร่อยดี ปลาอะไรรู้สึกสด ไม่คาว หอยเนี่ยกรอบอร่อยเลยแหละ เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านยืนกินและราคาไม่แพงมาก คุณภาพก็เลยไม่ถือว่าดีเลิศอะไร แต่คิดแล้วน่าจะยังดีกว่าที่ไทยนะ มื้อนี้ก็เหมาะไปหลายพันเยนเหมือนกัน แต่ก็อร่อยใช้ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องไปลองร้านดังที่วันนี้ไปกินไม่ได้ให้ได้เลย
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ที่ญี่ปุ่นเต็มๆ วันแล้ว ก็เลยขอเก็บตก Tokyo สถานที่ต่างๆ ที่ยังไม่ได้ไป ตื่นมาแต่เช้า ทิ้งภูรินอนอยู่ที่บ้าน ออกไปเก็บตกกันก่อน ที่แรกที่จะไป ก็คือ Asakusa ย่านนี้เป็นย่านชื่อดังที่รู้จักกันทั่วไปสำหรับชาวต่างชาติที่จะไปเที่ยว Tokyo การเดินทางก็ไม่ลำบากนั่งรถไฟ subway จากสถานี Shibuya ไปลงสถานี Asakusa พอขึ้นจากสถานี ก็จะเจอกับประตูและโคมอันยักษ์อันแรก ซึ่งโคมนี้ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของที่นี้เลยก็ว่าได้ พอผ่านประตูเข้าไปก็จะเป็นถนน Nakamise ที่มุ่งสู่วัด Sensoji ซึ่ง 2 ข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก ของกินมากมาย ตอนนี้ผู้คนเยอะมาก น่าจะเพราะว่าเป็นวันเสาร์ด้วย คนเลยเยอะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นร้านขายดังโงะ คลุกถั่ว หรือเกาลักอะไรสักอย่าง ลองซื้อมากินก็โอเคใช้ได้ เหนียวๆ หวานๆ เดินต่อไปสักพัก ก็เจอร้านเซ็มเบ้ ก็ลองซื้อมากิน เป็นรสโขยุ คือ เอาเซมเบ้ ที่เพิ่งปิ้งเสร็จ มาจิ้มในโชยุ แค่นั้น ก็กรอบๆ เค็มๆ ไม่มีอะไรพิเศษ เดินไปเรื่อยๆ จนสุด ก็จะเจอกับประตูอีกอันนึง ซึ่งก็มีโคมไฟยักษ์ห้อยอยู่เช่นกัน พอผ่านประตูนี้ก็จะเข้าสู๋วัด Sensoji แล้ว ในวัดก็จะมีเจดีย์สูงทางด้านซ้าย พอเดินเข้าไปก็จะเจอกับกระถางธูปกับผู้คนที่รุมพัดควันธูปเข้าหาตัว เมื่อเห็นอย่างนั้น ก็วิ่งไปพัดบ้าง เพื่อสิริมงคล (มั้ง) ทางด้านขวาของกระถางธูป ก็เป็นที่ใช้ชำระล้างมือกันแบบวัดอื่นๆ ในญี่ปุ่น เค้าก็มีรูปสอนว่า เราต้องทำยังไง
1. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือซ้าย
2. ตักน้ำขึ้นมา ล้างมือขวา
3. ตักน้ำขึ้นมา บ้วนปาก
เป็นอันเสร็จ พร้อมที่จะขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมองค์ 5 นิ้วที่วัดนี้แล้ว มาขึ้นไปบนวิหารวัด ก็จะเจอกับโคมไฟยักษ์อีกแล้ว พอเข้าไปเราจะเห็นกับองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ไกลๆ ก็กราบไหว้ ขอพร ตามสะดวก ออกจากวิหารกลาง มาเดินทางด้านซ้ายของวิหาร ก็จะเป็นสวน ในสวนก็จะมีพวกเทวรูป ศาลเล็กให้ได้ไหว้เช่นกัน จากจุดนี้เราจะมองเห็นสวนสนุกซึ่งอยู่ข้างๆ วัดเลย ตอนนี้ก็ยังไม่ถึง 10 โมงเลย เดินถ่ายรูปชิวๆ ได้อีก เดินมาทางด้านขวาของวิหารบ้าง ด้านนึ้ก็จะมีศาลอีกเช่นกัน แล้วก็มีระฆังด้วย ควรแก่เวลา กลับกันดีกว่าต้องกลับไปที่ Shibuya เพื่อกิน Sushi ร้านแนะนำของภูริดีกว่า เดินกลับสถานี Asakusa ที่สถานีก็มีเอาเกี้ยวที่เอาไว้ใช้แห่มาโชว์ไว้ด้วย จากสถานี Asakusa ก็จะนั่ง subway ไปลงสถานี Shibuya พอถึงสถานียังเห็นยังเร็วกว่าเวลานัด คือ 11 โมง ก็เลยขอหามุมถ่ายรูป 5 แยก Shibuya อันเลื่องชื่อสักหน่อย พอถ่ายเสร็จก็เดินไปที่ร้านที่จะกิน Sushi กัน ผลปรากฏว่า คิวของคนมาต่อกันยาวมากๆๆๆ ตอนนี้ภูริยังไม่มา ก็เลยไปยืนต่อก่อน ต่อไปได้สักพัก ภูริก็มาถึง เนื่องจากภูริต้องไปสัมภาษณ์งานต่อ ตอนบ่าย ซึ้งเล็งเห็นว่าถ้ารอเนี่ย ต้องไม่ทันแน่ๆ เลยเปลี่ยนใจ ไปกิน sushi ร้านยืนกินกันแทน
ไปถึงก็ไปยืน พนักงานเค้าก็จะเอาใบไม้ รู้สึกจะเป็นใบไผ่ มาวางข้างหน้าเรา ก็คือ พอเราสั่งเสร็จ เค้าก็จะทำซูชิมาวางบนใบนี้ ก็กินไปหลายอย่างเหมือนกัน อร่อยดี ปลาอะไรรู้สึกสด ไม่คาว หอยเนี่ยกรอบอร่อยเลยแหละ เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านยืนกินและราคาไม่แพงมาก คุณภาพก็เลยไม่ถือว่าดีเลิศอะไร แต่คิดแล้วน่าจะยังดีกว่าที่ไทยนะ มื้อนี้ก็เหมาะไปหลายพันเยนเหมือนกัน แต่ก็อร่อยใช้ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องไปลองร้านดังที่วันนี้ไปกินไม่ได้ให้ได้เลย
วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551
จุดหมายสุดท้ายใน Kamakura และ Akihabara
จาก Daibutsu เราจะนั่งรถกลับมายังสถานี Kamakura เพื่อเดินไปยังจุดหมายถัดไป ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง Kamakura นี้ วิธีการเดินทางก็ไม่ยาก จากสถานี Kamakura ก็หาเสาโทริสีแดงให้เจอ แล้วก็เดินเข้าไปเลย ตลอดถนนสายนี้ก็จะเป็นร้านขายของ ขายอาหาร ขายขนม และที่ฮิตก็คือ softcream เช่นเคย บนถนนเส้นนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ เดินไปเรื่อยๆ ดูข้าวดูของตามทาง พอถึงสุดทาง ก็เลี้ยวขวา จะเห็นเสาโทริสีแดงขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่
พอผ่านเสาโทริ ก็จะเห็นสะพานหินเก่าๆ อันนึง แต่เข้าไม่ให้เราข้าม ต้องไปข้ามสะพานข้างๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ด้านขวาจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะถึงตัวศาล เราจะเห็นร้านเล็กตั้งขายขนมเป็นระยะ แต่ที่ชอบคือ ต้นไม้ใหญ่มาก แล้วก็เยอะด้วย เห็นเดียวกับวัดหรือศาลเจ้าหลายๆ ที่ เราจะเห็นสาวๆ หรือสาวเหลือน้อย แต่งชุดกิโมโนมาไหว้พระกัน เดินเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเห็นศาลาสีแดงเป็นอย่างแรกเลย ทางด้านซ้ายของศาลา เราจะเห็นซุ้มที่เก็บเหล้าต่างๆ ไว้ พวกเหล้าพวกนี้เค้าเก็บไว้ตอนฉลองงานต่างๆ ก่อนที่เราจะขึ้นบันไดไป เราจะเจอกับต้นไม้ที่แห้งอยู่ ไม่แน่ใจว่าตายยัง แต่ดูเก่าแก่มากเลย ต้นเนี่ยใหญ่เชียว เค้าเอาเชือกผูกไว้ เหมือนเป็นต้นศักดิสิทธิ์ประมาณนั้นด้วย เดินขึ้นบันไดไป ก็จะเจอกับซุ้มประตูสีแดง ผ่านซุ้มประตูเข้าไปก็จะถึงตัวศาล ตัวศาลสร้างจากไม้ ทาสีออกเลือดหมู ไม่เหมือนศาลอื่นที่จะทาออกแดงไปเลย ตามจั่ว ตามหลังคา เสาต่างๆ ก็จะทาสี หรือวาดภาพไว้สวยงาม ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องไหว้เจ้า สักการะกันแล้ว ไปกันมาก็หลายวัด หลายศาลแล้ว ยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่า เวลาชาวญี่ปุ่นไหว้เจ้าเนี่ยเค้าไหว้กันยังไง จากที่สังเกตุมาไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าถูกหรือป่าว แต่ก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาไหว้อะ
1. บริจาคเงิน โดยโยนเหรียญแล้วแต่ศรัทธา ลงสู่ที่รับเหรียญด้านหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นตู้ไม้ แล้วมีไม้วางเป็นซี่ๆ ด้านบน ไม่เหมือนบ้านเราที่เป็นตู้พลาสติก จะโยนเป็นเหรียญ 100 เยน 500 เยน ก็ได้แล้วแต่ท่าน ยิ่งเหรียญราคาแพง เสียงที่กระทบกับไม้ก็ยิ่งดัง หนักแน่น แต่เราเบี้ยน้อยหอยน้อย โยนเหรียญต่ำๆ แทบไม่ได้ยินเสียงกระทบไว้เลย
2. จะปรบมือสัก 2-3 ที หรือถ้าตรงนั้นมีกระดิ่งก็สั่นกระดิ่ง ระฆัง หรือฆ้อง แล้วแต่วัดจะเตรียมอะไรไว้ตรงนั้น แตกต่างกันแล้วแต่วัด แอบมีเกร็ดเล็กๆ คือ ต้องสั่นแรงๆ ให้ดังๆ เข้าไว้ อันนี้ก็ไม่รู้นะ สังเกตุมา
3. ยกมือไหว้ อธิษฐาน จะเป็นภาษาอะไรแล้วแต่สะดวก คิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจทุกภาษานะ แค่นี้ก็เสร็จสรรพ กับการไหว้เจ้า
กลับมาสู่ศาล Tsurugaoka Hachimangu หลังจากที่เราไหว้เจ้าเสร็จ ข้างๆ จะมีตู้จำหน่ายคูปองเพื่อเข้าไปชมพวกวัตถุโบราณของวัด ราคา 200 เยน ก็ลองกดดู เดินเข้าไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้เดินรอบตัวศาลแล้ววนกลับมา ที่ไหนได้ เดินเข้าไป เลี้ยว 1 ทียังเดินไม่ถึงครึ่งก็หมด วนออกมาแล้ว ไม่คุ้มอย่างแรง ภายในก็จะเป็นของโบราณต่างๆ รู้สึกว่าจะเป็นของโชกุนนะ พวกเสื้อคลุม พวกตำรา หนังสือ ภาพวาด ประมาณนั้นนะ ออกมาจากศาล แอบมองเข้าไปข้างใน รู้สึกเค้าจะทำพิธีอะไรกันด้านใน เดินออกมาจากศาล ลองวนไปอีกทางด้านนึง ก็จะเจอกับศาลอะไรสักอย่าง แล้วก็มีต้นไม้ศักดิสิทธิ์ หินศักดิสิทธิ์ (มั้ง) แล้วสุดท้ายก็เป็นเสาโทริหิน ค่อนข้างจะเก่าทีเดียว จากตรงนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมสวนดอกไม้ของศาลเจ้าได้ แต่ต้องเสียเงินนะ มาคิดดูตอนนี้ฤดูหนาวคงไม่ค่อยมีดอกไม้อะไรมากหรอก ก็เลยไม่เข้าไป แต่บริเวณหน้าทางเข้าสวนจะมีดอกบ๊วยให้ถ่ายรูปกันอีกแล้ว สวยดี ชอบ สวนนี้จะติดกับสระน้ำที่ตอนแรกเจอแหละ ที่สระนี้ก็จะมีเป็ดเต็มเลย ก็จะมีชาวญี่ปุ่น นั่งพักผ่อนให้อาหารเป็ดกันอยู่หลายคน แต่จริงๆ ในสระก็จะมีปลาคาร์ฟด้วย พอโยนอาหารลงไป ก็จะแย่งกันระหว่างเป็ดกับปลา ตลกดี เดินเรื่อยมาหน่อย ก็จะเจอกับสะพานเดินข้ามไปที่เกาะกลางสระได้ บนเกาะก็จะมีศาลเล็กๆ รอบๆ ศาลก็จะมีธงอะไรปักอยู่เต็มเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคือธงอะไรเหมือนกัน พอออกจากเกาะกลางสระ ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่หน้าศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu พอดี ก็คงได้เวลาต้องลาจากซะแล้ว
ขากลับเดินกลับอีกทาง คือทางที่ตรงกับศาลพอดี ทางนี้จะเป็นทางเท้า ที่อยู่ตรงกลางระหว่างถนน ทั้งสองด้านของทางเท้าจะมีต้นไม้ คาดว่าเป็นต้นซากุระ ถ้าบานจะต้องสวยแน่นอนเลยอะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่นพอดี ก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบๆ ข้าง บางคนเดินไปตบแปะกับเพื่อนไป ก็ดีไม่ต้องระวังรถเลย เพราะไม่มีรถแน่ๆ ดูปลอดภัยดีจัง ตอนใกล้จะสุดทางกลับถึงสถานี จะเจอกับร้านขายขนมรูปนกพิราบ คิดว่าเป็นขนมชื่อดังของที่นี้นะ ร้านสีขาวใหญ่เชียว แต่ไม่ได้ลองเข้าไปดูนะ แล้วก็ถึงสถานี Kamakura แล้ว ตอนนี้ก็ขอนั่งรถไฟกลับไปยัง Tokyo เพื่อไปเดินแถว Akihabara กันต่อ
พอถึงสถานี Tokyo เราก็ต่อรถไฟมาลงที่สถานี Akihabara ตอนนั้นประมาณบ่าย 5 ได้ เดินออกจากสถานีได้ไม่ทันไร ก็จะเห็นสาวๆ มาแจกใบปลิว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวเสื้อผ้าเลยไม่ค่อยจะแปลกซะเท่าไหร่มั้ง ได้ข่าวว่าปกติจะแต่งชุดพวก maid กัน ก็อย่างที่ทราบๆ กันย่านนี้เป็นย่านที่ขายของ electronic เยอะ ก็เห็นเต็มไปหมดเลย ทั้ง Bic Camera และร้านอื่นๆ แอบจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่ที่สนใจนอกจากพวกของ electronic ก็คือพวก model, figure ญี่ปุ่นต่างๆ ที่แอบหลบอยู่บนชั้น 2 ของตึกต่างๆ ก็ลองมั่วเดินขึ้นไป ตามตึกต่างๆ และแล้วก็ได้ของมาบางส่วน จริงๆ อยากซื้อมากกว่านี้แต่กลัวขนกลับไม่ไหว ก็เลยหยุดไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ลองเดินไปอีกด้านนึงของ Akihabara ก็เจอส่วนที่ให้ความรู้สึกแบบคลองถม คือ เค้าจะเอาพวกอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใส่กล่อง แล้ววางขาย ติดป้ายถูกๆ อะไรแบบนั้น ตอนนี้ก็เริ่มเย็นละ มั่วเสียเวลากับหาของเล่น พอดีเจอร้านขายข้าวแกงกระหรี่ ชื่อ Curry Kitchen ก็เลยเข้าไปกินข้าวแกงกระหรี่รองท้อง เหมือนเดิม หยอดเหรียญ เอาคูปองส่งให้พนักงาน แล้วก็รอกิน พอกินแล้วรู้สึกรสชาติธรรมดาๆ สู้วันก่อนแถว Shibuya ที่กินกับภูริกับพี่ต้าไม่ได้ เสร็จก็นั่งรถกลับ Shibuya เพื่อไปเจอภูริ แล้วไปเดินแถว Loft แล้วก็กลับไปที่บ้าน พักผ่อน ก็หมดไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่จะได้เที่ยงญี่ปุ่นเต็มๆ วันเป็นวันสุดท้าย คิดแล้วเศร้าอยากอยู่ต่อจัง
พอผ่านเสาโทริ ก็จะเห็นสะพานหินเก่าๆ อันนึง แต่เข้าไม่ให้เราข้าม ต้องไปข้ามสะพานข้างๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ด้านขวาจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะถึงตัวศาล เราจะเห็นร้านเล็กตั้งขายขนมเป็นระยะ แต่ที่ชอบคือ ต้นไม้ใหญ่มาก แล้วก็เยอะด้วย เห็นเดียวกับวัดหรือศาลเจ้าหลายๆ ที่ เราจะเห็นสาวๆ หรือสาวเหลือน้อย แต่งชุดกิโมโนมาไหว้พระกัน เดินเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเห็นศาลาสีแดงเป็นอย่างแรกเลย ทางด้านซ้ายของศาลา เราจะเห็นซุ้มที่เก็บเหล้าต่างๆ ไว้ พวกเหล้าพวกนี้เค้าเก็บไว้ตอนฉลองงานต่างๆ ก่อนที่เราจะขึ้นบันไดไป เราจะเจอกับต้นไม้ที่แห้งอยู่ ไม่แน่ใจว่าตายยัง แต่ดูเก่าแก่มากเลย ต้นเนี่ยใหญ่เชียว เค้าเอาเชือกผูกไว้ เหมือนเป็นต้นศักดิสิทธิ์ประมาณนั้นด้วย เดินขึ้นบันไดไป ก็จะเจอกับซุ้มประตูสีแดง ผ่านซุ้มประตูเข้าไปก็จะถึงตัวศาล ตัวศาลสร้างจากไม้ ทาสีออกเลือดหมู ไม่เหมือนศาลอื่นที่จะทาออกแดงไปเลย ตามจั่ว ตามหลังคา เสาต่างๆ ก็จะทาสี หรือวาดภาพไว้สวยงาม ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องไหว้เจ้า สักการะกันแล้ว ไปกันมาก็หลายวัด หลายศาลแล้ว ยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่า เวลาชาวญี่ปุ่นไหว้เจ้าเนี่ยเค้าไหว้กันยังไง จากที่สังเกตุมาไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าถูกหรือป่าว แต่ก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาไหว้อะ
1. บริจาคเงิน โดยโยนเหรียญแล้วแต่ศรัทธา ลงสู่ที่รับเหรียญด้านหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นตู้ไม้ แล้วมีไม้วางเป็นซี่ๆ ด้านบน ไม่เหมือนบ้านเราที่เป็นตู้พลาสติก จะโยนเป็นเหรียญ 100 เยน 500 เยน ก็ได้แล้วแต่ท่าน ยิ่งเหรียญราคาแพง เสียงที่กระทบกับไม้ก็ยิ่งดัง หนักแน่น แต่เราเบี้ยน้อยหอยน้อย โยนเหรียญต่ำๆ แทบไม่ได้ยินเสียงกระทบไว้เลย
2. จะปรบมือสัก 2-3 ที หรือถ้าตรงนั้นมีกระดิ่งก็สั่นกระดิ่ง ระฆัง หรือฆ้อง แล้วแต่วัดจะเตรียมอะไรไว้ตรงนั้น แตกต่างกันแล้วแต่วัด แอบมีเกร็ดเล็กๆ คือ ต้องสั่นแรงๆ ให้ดังๆ เข้าไว้ อันนี้ก็ไม่รู้นะ สังเกตุมา
3. ยกมือไหว้ อธิษฐาน จะเป็นภาษาอะไรแล้วแต่สะดวก คิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจทุกภาษานะ แค่นี้ก็เสร็จสรรพ กับการไหว้เจ้า
กลับมาสู่ศาล Tsurugaoka Hachimangu หลังจากที่เราไหว้เจ้าเสร็จ ข้างๆ จะมีตู้จำหน่ายคูปองเพื่อเข้าไปชมพวกวัตถุโบราณของวัด ราคา 200 เยน ก็ลองกดดู เดินเข้าไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้เดินรอบตัวศาลแล้ววนกลับมา ที่ไหนได้ เดินเข้าไป เลี้ยว 1 ทียังเดินไม่ถึงครึ่งก็หมด วนออกมาแล้ว ไม่คุ้มอย่างแรง ภายในก็จะเป็นของโบราณต่างๆ รู้สึกว่าจะเป็นของโชกุนนะ พวกเสื้อคลุม พวกตำรา หนังสือ ภาพวาด ประมาณนั้นนะ ออกมาจากศาล แอบมองเข้าไปข้างใน รู้สึกเค้าจะทำพิธีอะไรกันด้านใน เดินออกมาจากศาล ลองวนไปอีกทางด้านนึง ก็จะเจอกับศาลอะไรสักอย่าง แล้วก็มีต้นไม้ศักดิสิทธิ์ หินศักดิสิทธิ์ (มั้ง) แล้วสุดท้ายก็เป็นเสาโทริหิน ค่อนข้างจะเก่าทีเดียว จากตรงนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมสวนดอกไม้ของศาลเจ้าได้ แต่ต้องเสียเงินนะ มาคิดดูตอนนี้ฤดูหนาวคงไม่ค่อยมีดอกไม้อะไรมากหรอก ก็เลยไม่เข้าไป แต่บริเวณหน้าทางเข้าสวนจะมีดอกบ๊วยให้ถ่ายรูปกันอีกแล้ว สวยดี ชอบ สวนนี้จะติดกับสระน้ำที่ตอนแรกเจอแหละ ที่สระนี้ก็จะมีเป็ดเต็มเลย ก็จะมีชาวญี่ปุ่น นั่งพักผ่อนให้อาหารเป็ดกันอยู่หลายคน แต่จริงๆ ในสระก็จะมีปลาคาร์ฟด้วย พอโยนอาหารลงไป ก็จะแย่งกันระหว่างเป็ดกับปลา ตลกดี เดินเรื่อยมาหน่อย ก็จะเจอกับสะพานเดินข้ามไปที่เกาะกลางสระได้ บนเกาะก็จะมีศาลเล็กๆ รอบๆ ศาลก็จะมีธงอะไรปักอยู่เต็มเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคือธงอะไรเหมือนกัน พอออกจากเกาะกลางสระ ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่หน้าศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu พอดี ก็คงได้เวลาต้องลาจากซะแล้ว
ขากลับเดินกลับอีกทาง คือทางที่ตรงกับศาลพอดี ทางนี้จะเป็นทางเท้า ที่อยู่ตรงกลางระหว่างถนน ทั้งสองด้านของทางเท้าจะมีต้นไม้ คาดว่าเป็นต้นซากุระ ถ้าบานจะต้องสวยแน่นอนเลยอะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่นพอดี ก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบๆ ข้าง บางคนเดินไปตบแปะกับเพื่อนไป ก็ดีไม่ต้องระวังรถเลย เพราะไม่มีรถแน่ๆ ดูปลอดภัยดีจัง ตอนใกล้จะสุดทางกลับถึงสถานี จะเจอกับร้านขายขนมรูปนกพิราบ คิดว่าเป็นขนมชื่อดังของที่นี้นะ ร้านสีขาวใหญ่เชียว แต่ไม่ได้ลองเข้าไปดูนะ แล้วก็ถึงสถานี Kamakura แล้ว ตอนนี้ก็ขอนั่งรถไฟกลับไปยัง Tokyo เพื่อไปเดินแถว Akihabara กันต่อ
พอถึงสถานี Tokyo เราก็ต่อรถไฟมาลงที่สถานี Akihabara ตอนนั้นประมาณบ่าย 5 ได้ เดินออกจากสถานีได้ไม่ทันไร ก็จะเห็นสาวๆ มาแจกใบปลิว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวเสื้อผ้าเลยไม่ค่อยจะแปลกซะเท่าไหร่มั้ง ได้ข่าวว่าปกติจะแต่งชุดพวก maid กัน ก็อย่างที่ทราบๆ กันย่านนี้เป็นย่านที่ขายของ electronic เยอะ ก็เห็นเต็มไปหมดเลย ทั้ง Bic Camera และร้านอื่นๆ แอบจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่ที่สนใจนอกจากพวกของ electronic ก็คือพวก model, figure ญี่ปุ่นต่างๆ ที่แอบหลบอยู่บนชั้น 2 ของตึกต่างๆ ก็ลองมั่วเดินขึ้นไป ตามตึกต่างๆ และแล้วก็ได้ของมาบางส่วน จริงๆ อยากซื้อมากกว่านี้แต่กลัวขนกลับไม่ไหว ก็เลยหยุดไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ลองเดินไปอีกด้านนึงของ Akihabara ก็เจอส่วนที่ให้ความรู้สึกแบบคลองถม คือ เค้าจะเอาพวกอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใส่กล่อง แล้ววางขาย ติดป้ายถูกๆ อะไรแบบนั้น ตอนนี้ก็เริ่มเย็นละ มั่วเสียเวลากับหาของเล่น พอดีเจอร้านขายข้าวแกงกระหรี่ ชื่อ Curry Kitchen ก็เลยเข้าไปกินข้าวแกงกระหรี่รองท้อง เหมือนเดิม หยอดเหรียญ เอาคูปองส่งให้พนักงาน แล้วก็รอกิน พอกินแล้วรู้สึกรสชาติธรรมดาๆ สู้วันก่อนแถว Shibuya ที่กินกับภูริกับพี่ต้าไม่ได้ เสร็จก็นั่งรถกลับ Shibuya เพื่อไปเจอภูริ แล้วไปเดินแถว Loft แล้วก็กลับไปที่บ้าน พักผ่อน ก็หมดไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่จะได้เที่ยงญี่ปุ่นเต็มๆ วันเป็นวันสุดท้าย คิดแล้วเศร้าอยากอยู่ต่อจัง
วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551
พระใหญ่ แห่งเมือง Kamakura
จากวัด Hasedera เราจะเดินกันต่อไปที่วัดที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่นี้เลยก็ว่าได้ ถ้าใครมา Kamakura แล้วไม่มาที่นี้ก็ถือว่าไม่ได้มาเลยก็ว่าได้ นั่นคือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง องค์ Daibutsu นั่นเอง ระหว่างทางก็จะมีร้านขาย softcream มากมาย โคน softcream สีม่วงเขียวอันใหญ่ตั้งอยู่หน้าร้าน เชิญชวนให้เข้าไปลิ้มลอง แต่เอาไว้ขากลับก่อนละกันนะ ไม่พลาดแน่ เดินได้สักพักก็จะถึงตัววัดแล้ว
ถึงแล้ว ตามระเบียบต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมซะก่อน 200 เยน เดินเข้าไปจะเป็นทางแยก 2 ด้าน ด้านซ้ายจะมีพวกต้นไม้ ต้นสนปลุกอยู่ ส่วนด้านขวามองไม่เห็นว่ามีอะไร งั้นไปทางขวาดีกว่า เดี๋ยวค่อยเดินมาทางซ้ายตอนกลับ พอเลี้ยวไปทางขวาปุ๊บ ก็จะเจอเลยองค์ Daibutsu อะไรมันจะง่ายอย่างนี้ ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย มันง่ายดีจัง hi-light ของสถานที่ต่างๆ พอจ่ายค่าเข้าชมปุ๊บ เลี้ยว 1 ทีก็จะเห็นเลย น่าจะเอาให้ตื่นเต้นซะนิดนะ กลับมาที่ Daibutsu จากตรงนี้จะเป็นภาพที่สวยมาก องค์พระสีฟ้าอมเขียว มีร่องรอยผ่านแดดผ่านฝนมานานนับร้อยปี ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ที่ลานกลางแจ้ง ด้านหลังเป็นภูเขาและท้องฟ้าสีฟ้า สวยมากเลย หยุดชื่นชมไม่ได้ เดินเข้าไปใกล้ เรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า ทำไมเล็กกว่าที่คิดเยอะจัง น่าจะสูงประมาณตึก 2 ชั้นเอง สูงไม่เท่า Daibutsu ที่ Nara ตัวองค์พระทำมาจากสำริด เดิมที่มีวิหารอยู่ แต่เพราะว่าเกิด สึนามิ ขึ้นที่ชายฝั่งเมือง Kamakura ถล่มตัววัดจนเสียหาย แต่มีแต่องค์พระที่ยังเหลืออยู่ ตั้งแต่นั้นมาองค์ Daibutsu ก็ตั้งอยู่กลางแจ้งมาตลอด เดินวนชมความงามขององค์พระซะ 1 รอบ ด้านหลังขององค์พระมีช่องเปิดออกมา เลยทำให้รู้ว่าด้านในนั้นกลวง เราสามารถเดินเข้าไปดูข้างในได้ โดยจ่าย 20 เยนเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร จ่ายเงินเข้าไป ก็สมกับราคาที่จ่ายไป เดินไปมา 2 ก้าวก็ทั่วตัวพระ ข้างในมืดๆ มีทางเดินขึ้นไปที่ช่องด้านหลังขององค์พระที่เปิดอยู่ แต่เค้าไม่ให้ขึ้น เดินรอบ 2 รอบรู้สึกอึดอัดคนเรื่อยเยอะ ขอออกดีกว่า ด้านข้างๆ ขององค์พระจะมีศาลา ด้านในจะมีขายเครื่องรางและของที่ระลึก นอกจากนั้นก็ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน และตรงนี้เอง เราจะเห็นรองเท้าขนาดใหญ่ขององค์ Daibutsu ด้วย
จากตัวองค์พระ ลองเดินไปส่วนอื่นกันบ้าง ทางด้านหลังขององค์พระ จะมีศาลากับเทวรูปให้เราได้สักการะกัน รวมถึงห้องน้ำด้วย แต่อันนี้ไม่เกี่ยวกับการสักการะนะ บอกไว้เฉยๆ สรุปก็คือ ไม่มีอะไรแหละ เดินกลับมาชื่นชอบองค์พระกันซะอีกรอบ คราวนี้ลองเดินกลับไปอีกทางด้านที่เป็นต้นสนดีกว่า เอ๊ะ ทำไมมีป้ายภาษาคุ้นตา ไปดูใกล้ๆ หน่อยซิ อ้าวนี่มันภาษาไทยนี่หน่า เค้าเขียนว่าต้นสนต้นนี้เป็นต้นสนที่ ร. 7 ได้มาปลูกไว้ (จริงๆ เขียนเป็นภาษาทางการนะ)เดินไปอีกนิด ก็เป็นต้นที่ ร. 6 และก็เจ้าฟ้าชาย เคยปลูกไว้อีกด้วย ถ้าไปก็อย่าลืมไปแวะดูกันนะ
เสร็จจาก Diabutsu เดินกลับมาทางเดิม ก็ไม่ลืมสัญญา softcream 1 โคน เป็นรสชาเขียวและบลูเบอรี่ อร่อยดี หวานๆ กินตอนหน้าหนาว เย็นเชียว เยอะมากเลยกว่าจะกินหมด ไม่เหมือนไอติม Mac มีแต่ที่อยู่เหนือโคน ใต้โคนนี่กลวง ไม่ไหว กินหมด ก็ถึงสถานีพอดี ตอนนั้นก็เที่ยงได้แล้ว ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินอะไร พอดีตรงสถานี Hase มีร้านราเมนอยู่ร้านนึงพอดี ชื่อร้าน Goten Ramen ถ้าจำไม่ผิด อยู่บนชั้น 2 ของร้าน 100 เยนตรงสถานี ก็เดินขึ้นไป ไปถึงก็สั่ง Goten Ramen ชื่อเดียวกับร้านเนี่ยแหละ ก็ได้ราเมนมา 1 ชาม อร่อยดีเหมือนกัน น้ำซุปเข้มข้นรสเกลือ คิดว่าเป็น Shio Ramen เนี่ยแหละ แต่ว่าคงปรับปรุง ปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย มีใส่หน่อไม้ซึ่งหวานดี แล้วก็สาหร่าย อร่อยดี แต่ก็มันเหมือนกัน กินเสร็จ ก็นั่งรถไฟ กลับไปยังสถานี Kamakura เพื่อไปยังจุดหมายถัดไป
ถึงแล้ว ตามระเบียบต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมซะก่อน 200 เยน เดินเข้าไปจะเป็นทางแยก 2 ด้าน ด้านซ้ายจะมีพวกต้นไม้ ต้นสนปลุกอยู่ ส่วนด้านขวามองไม่เห็นว่ามีอะไร งั้นไปทางขวาดีกว่า เดี๋ยวค่อยเดินมาทางซ้ายตอนกลับ พอเลี้ยวไปทางขวาปุ๊บ ก็จะเจอเลยองค์ Daibutsu อะไรมันจะง่ายอย่างนี้ ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย มันง่ายดีจัง hi-light ของสถานที่ต่างๆ พอจ่ายค่าเข้าชมปุ๊บ เลี้ยว 1 ทีก็จะเห็นเลย น่าจะเอาให้ตื่นเต้นซะนิดนะ กลับมาที่ Daibutsu จากตรงนี้จะเป็นภาพที่สวยมาก องค์พระสีฟ้าอมเขียว มีร่องรอยผ่านแดดผ่านฝนมานานนับร้อยปี ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ที่ลานกลางแจ้ง ด้านหลังเป็นภูเขาและท้องฟ้าสีฟ้า สวยมากเลย หยุดชื่นชมไม่ได้ เดินเข้าไปใกล้ เรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า ทำไมเล็กกว่าที่คิดเยอะจัง น่าจะสูงประมาณตึก 2 ชั้นเอง สูงไม่เท่า Daibutsu ที่ Nara ตัวองค์พระทำมาจากสำริด เดิมที่มีวิหารอยู่ แต่เพราะว่าเกิด สึนามิ ขึ้นที่ชายฝั่งเมือง Kamakura ถล่มตัววัดจนเสียหาย แต่มีแต่องค์พระที่ยังเหลืออยู่ ตั้งแต่นั้นมาองค์ Daibutsu ก็ตั้งอยู่กลางแจ้งมาตลอด เดินวนชมความงามขององค์พระซะ 1 รอบ ด้านหลังขององค์พระมีช่องเปิดออกมา เลยทำให้รู้ว่าด้านในนั้นกลวง เราสามารถเดินเข้าไปดูข้างในได้ โดยจ่าย 20 เยนเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร จ่ายเงินเข้าไป ก็สมกับราคาที่จ่ายไป เดินไปมา 2 ก้าวก็ทั่วตัวพระ ข้างในมืดๆ มีทางเดินขึ้นไปที่ช่องด้านหลังขององค์พระที่เปิดอยู่ แต่เค้าไม่ให้ขึ้น เดินรอบ 2 รอบรู้สึกอึดอัดคนเรื่อยเยอะ ขอออกดีกว่า ด้านข้างๆ ขององค์พระจะมีศาลา ด้านในจะมีขายเครื่องรางและของที่ระลึก นอกจากนั้นก็ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน และตรงนี้เอง เราจะเห็นรองเท้าขนาดใหญ่ขององค์ Daibutsu ด้วย
จากตัวองค์พระ ลองเดินไปส่วนอื่นกันบ้าง ทางด้านหลังขององค์พระ จะมีศาลากับเทวรูปให้เราได้สักการะกัน รวมถึงห้องน้ำด้วย แต่อันนี้ไม่เกี่ยวกับการสักการะนะ บอกไว้เฉยๆ สรุปก็คือ ไม่มีอะไรแหละ เดินกลับมาชื่นชอบองค์พระกันซะอีกรอบ คราวนี้ลองเดินกลับไปอีกทางด้านที่เป็นต้นสนดีกว่า เอ๊ะ ทำไมมีป้ายภาษาคุ้นตา ไปดูใกล้ๆ หน่อยซิ อ้าวนี่มันภาษาไทยนี่หน่า เค้าเขียนว่าต้นสนต้นนี้เป็นต้นสนที่ ร. 7 ได้มาปลูกไว้ (จริงๆ เขียนเป็นภาษาทางการนะ)เดินไปอีกนิด ก็เป็นต้นที่ ร. 6 และก็เจ้าฟ้าชาย เคยปลูกไว้อีกด้วย ถ้าไปก็อย่าลืมไปแวะดูกันนะ
เสร็จจาก Diabutsu เดินกลับมาทางเดิม ก็ไม่ลืมสัญญา softcream 1 โคน เป็นรสชาเขียวและบลูเบอรี่ อร่อยดี หวานๆ กินตอนหน้าหนาว เย็นเชียว เยอะมากเลยกว่าจะกินหมด ไม่เหมือนไอติม Mac มีแต่ที่อยู่เหนือโคน ใต้โคนนี่กลวง ไม่ไหว กินหมด ก็ถึงสถานีพอดี ตอนนั้นก็เที่ยงได้แล้ว ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินอะไร พอดีตรงสถานี Hase มีร้านราเมนอยู่ร้านนึงพอดี ชื่อร้าน Goten Ramen ถ้าจำไม่ผิด อยู่บนชั้น 2 ของร้าน 100 เยนตรงสถานี ก็เดินขึ้นไป ไปถึงก็สั่ง Goten Ramen ชื่อเดียวกับร้านเนี่ยแหละ ก็ได้ราเมนมา 1 ชาม อร่อยดีเหมือนกัน น้ำซุปเข้มข้นรสเกลือ คิดว่าเป็น Shio Ramen เนี่ยแหละ แต่ว่าคงปรับปรุง ปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย มีใส่หน่อไม้ซึ่งหวานดี แล้วก็สาหร่าย อร่อยดี แต่ก็มันเหมือนกัน กินเสร็จ ก็นั่งรถไฟ กลับไปยังสถานี Kamakura เพื่อไปยังจุดหมายถัดไป
วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551
มุ่งสู่ Kamakura และดอกบ๊วยที่บานสะพรั่ง
22 กุมภา
วันนี้ปลุกนาฬิกาไว้ 8.30 แต่กว่าจะตื่นเอาเข้าจริงๆ ก็ 9 โมง ส่วนภูรินะหรอ ยังนอนอุตุ วันนี้จะไป Kamakura แต่ภูริไม่ได้ไปด้วยนะ รายนั้นต้องไป lab ไม่ว่างไปเที่ยวด้วย กว่าจะออก กว่าจะถึงสถานี Tokyo การจะไป Kamakura เราจะต้องไปต่อรถไฟ JR สาย JR Yokosuka สรุปกว่าจะได้ขึ้นก็ 10.10 ยังไม่ได้กินไรเลย เช้านี้ เอาขนมใบเมเปิ้ล ขึ้นมากินดีกว่า คงยังจำกันได้ว่าขนมนี้เป็นขนมขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima จาก Hiroshima จะบอกว่าซื้อมา 3 อัน เพิ่งได้กินหมดก็วันนี้เอง เหอๆ
จากตารางเดินรถมันบอกว่านั่งต้นสายที่สถานี Tokyo แล้วก็นั่งไปสุดสายที่สถานี Kamakura เพราะฉะนั้น ก็แค่นั่งไปเรื่อยๆ จนสุดสายก็ถึง ก็แค่มองดูป้ายว่าสถานีนี้คือ Kamakura หรือยัง แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น พอถึงสถานี Ofuna ก็เห็นคนลงหมด เหลือแค่เรากับพวกฝรั่งไม่กี่คน ที่ยังนั่งอยู่ รถไฟก็จอดอยู่สักพัก รถก็เคลื่อนที่ แต่เอ๊ะ ทำไมถึงวิ่งย้อนกลับไปทางที่มาเมื่อกี้นี้เนี่ย ตายห่า เกิดไรขึ้น พอนั่งไปถึงสถานี่ต่อไป Totsuka ก็รีบลง แต่แอบหลบกลุ่มฝรั่งหน่อย เดี๋ยวมันจะนึกว่าไอ้นี้ก็โง่เหมือนกัน แล้วก็นั่งย้อนกลับไปใหม่ แล้วก็ไปต่ออีกด้านนึง มันถึงจะไป Kamakura ต้องดูป้ายที่เค้าเขียนไว้ข้างบน
ในที่สุดก็ถึง Kamakura ออกจากสถานี เราจะต่อรถไฟของที่นี้กันต่อ แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้ว เพราะมันไม่ใช่ JR แต่แล้วเรามีบัตร PASSMO สามารถเอามาใช้ได้ จากสถานี Kamakura เรานั่งรถไฟ รถไฟที่ Kamakura เนี่ยน่ารักดี คันไม่ยาวมาก ข้างในมีพวกการ์ตูนด้วย ถ้าจำไม่ผิด เราจะมาลงที่สถานี Hase จากสถานีเดินไปไม่ไกลก็จะถึงวัด Hasedera เราจะเห็นโคมไฟสีแดงอยู่ที่หน้าประตูวัด และต้นสน แต่พอมองลอดโคมไฟเข้าไป เท่านั้น ก็ตะลึงกับดอกบ๊วยที่บานสะพรั่งอยู่ภายในวัด สวยโคตรสวยเลย งั้นรีบจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 300 เยนแล้วเข้าไปเลยดีกว่า ในวัดจะเป็นสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้ แต่จะมีต้นบ๊วย ที่มีดอกบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เป็นภาพที่สวยมากๆ เลย ถือว่า ทดแทน ซากุระ ที่ไม่ได้เห็นได้เลยทีเดียว มีทั้งชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวตื่นเต้นกับภาพดอกบ๊วยที่อยู่เบี้องหน้า พากันถ่ายรูปกันสนุกสนาน ถ่ายรูปเพลิน ลืมไปว่าอยู่ในวัด เราต้องไปไหว้พระนี่หน่า
เดินขึ้นไปเราจะเยอะกับเทวรูปมากมาย วางเรียงอยู่ มีทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่เต็มไปหมด เค้าบอกว่าเทวรูปเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับเด็กทารกที่เสียชีวิตจากการทำแท้งแหละ น่าสงสารจังทำแท้งกันเยอะขนาดนี้เลยอะ เดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอกับวิหารสีเลือดหมู สไตล์ญี่ปุ่นต่างๆ แต่ยังไม่เข้าวิหารดีกว่า ขอเดินดูรอบๆ ก่อน รอบๆ ก็จะมีพระพุทธรูปอยู่เช่นกัน และดอกบ๊วยของเราก็ยังไม่หมด ข้างบนก็ยังมี เดินไปเรื่อยๆ จะมีมุมให้ชมวิวเมือง Kamakura และอ่าว Sakami เราจะได้เห็นทะเลกันจากมุมนี้ด้วย ริมสุดจะมีวิหารเก็บคัมภีร์ต่างๆ ที่เก็บคัมภีร์เป็นไม้ สามารถหมุนได้ด้วย ใกล้ๆ กันนั้นก็มีร้านขายอาหารด้วย เดินต่อไปก็จะเป็นทางเข้าสู่ Prospect Road ชื่อไฮโซดีไหม จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็เป็นทางเดินขึ้นไปบนไหล่เขา ระหว่างทางก็จะมีพันธุ์ไม้ดอกให้ชื่นชม แต่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เลยมีแต่กิ่งๆ มีดอกไม้ให้เห็นบ้าง แต่ก็น้อยมาก ระหว่างทางก็จะมีพระพุทธรูปให้เราสักการะตามรายทาง บางช่วงต้นไม้จะแวกออกไป ทำให้เราก็สามารถเห็นวิวเมือง Kamakura ได้ด้วย เดินลงจากเขา ออกจาก Prospect Road กลับมาบริเวณชมวิว เพิ่งสังเกตุเห็นนกที่บินไปบินมาอยู่บนฟ้าว่า มันคือ นกอินทรีย์ ตัวใหญ่ สง่างามดีจัง
ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลัก แล้วหุ้มด้วยทอง ซึ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นภายในวิหารที่เราผ่านไปตอนแรก องค์ทองอร่ามสวยงามมากเลย ชื่นชมความงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมสักพัก ก็กลับออกมา เดินลงไปชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยมากเลยอะ ขอบอก ลองเดินไปอีกด้านของสวน เราจะพบกับถ้ำ เป็นไง amazing ไหม มีทั้งเขา มีทั้งถ้ำ มีทั้งดอกไม้ เป็นวัดที่คุ้มจริงๆ ภายในถ้ำ ก็จะเป็นทางมืดๆ ให้เราเดิน อารมณ์ตื่นเต้นนิดๆ น้องผู้หญิงชาวญี่ปุ่นร้องกลัว เกาะขาคุณพ่อของเค้าใหญ่เลย แต่น้องผู้ชายอีกคนเนี่ยซิ ไม่กลัว วิ่งใหญ่เลย พอเข้าไปเราจะพบกับเทวรูปนับร้อยอีกเช่นกัน ตอนขาออกเพดานถ้ำจะเตี้ยมาก เราต้องย่อตัวเดินออกมา ก็สนุกดี ก่อนจะลาจากวัด Hasedera ก็ขอชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยจริงๆ เลย
วันนี้ปลุกนาฬิกาไว้ 8.30 แต่กว่าจะตื่นเอาเข้าจริงๆ ก็ 9 โมง ส่วนภูรินะหรอ ยังนอนอุตุ วันนี้จะไป Kamakura แต่ภูริไม่ได้ไปด้วยนะ รายนั้นต้องไป lab ไม่ว่างไปเที่ยวด้วย กว่าจะออก กว่าจะถึงสถานี Tokyo การจะไป Kamakura เราจะต้องไปต่อรถไฟ JR สาย JR Yokosuka สรุปกว่าจะได้ขึ้นก็ 10.10 ยังไม่ได้กินไรเลย เช้านี้ เอาขนมใบเมเปิ้ล ขึ้นมากินดีกว่า คงยังจำกันได้ว่าขนมนี้เป็นขนมขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima จาก Hiroshima จะบอกว่าซื้อมา 3 อัน เพิ่งได้กินหมดก็วันนี้เอง เหอๆ
จากตารางเดินรถมันบอกว่านั่งต้นสายที่สถานี Tokyo แล้วก็นั่งไปสุดสายที่สถานี Kamakura เพราะฉะนั้น ก็แค่นั่งไปเรื่อยๆ จนสุดสายก็ถึง ก็แค่มองดูป้ายว่าสถานีนี้คือ Kamakura หรือยัง แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น พอถึงสถานี Ofuna ก็เห็นคนลงหมด เหลือแค่เรากับพวกฝรั่งไม่กี่คน ที่ยังนั่งอยู่ รถไฟก็จอดอยู่สักพัก รถก็เคลื่อนที่ แต่เอ๊ะ ทำไมถึงวิ่งย้อนกลับไปทางที่มาเมื่อกี้นี้เนี่ย ตายห่า เกิดไรขึ้น พอนั่งไปถึงสถานี่ต่อไป Totsuka ก็รีบลง แต่แอบหลบกลุ่มฝรั่งหน่อย เดี๋ยวมันจะนึกว่าไอ้นี้ก็โง่เหมือนกัน แล้วก็นั่งย้อนกลับไปใหม่ แล้วก็ไปต่ออีกด้านนึง มันถึงจะไป Kamakura ต้องดูป้ายที่เค้าเขียนไว้ข้างบน
ในที่สุดก็ถึง Kamakura ออกจากสถานี เราจะต่อรถไฟของที่นี้กันต่อ แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้ว เพราะมันไม่ใช่ JR แต่แล้วเรามีบัตร PASSMO สามารถเอามาใช้ได้ จากสถานี Kamakura เรานั่งรถไฟ รถไฟที่ Kamakura เนี่ยน่ารักดี คันไม่ยาวมาก ข้างในมีพวกการ์ตูนด้วย ถ้าจำไม่ผิด เราจะมาลงที่สถานี Hase จากสถานีเดินไปไม่ไกลก็จะถึงวัด Hasedera เราจะเห็นโคมไฟสีแดงอยู่ที่หน้าประตูวัด และต้นสน แต่พอมองลอดโคมไฟเข้าไป เท่านั้น ก็ตะลึงกับดอกบ๊วยที่บานสะพรั่งอยู่ภายในวัด สวยโคตรสวยเลย งั้นรีบจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 300 เยนแล้วเข้าไปเลยดีกว่า ในวัดจะเป็นสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้ แต่จะมีต้นบ๊วย ที่มีดอกบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เป็นภาพที่สวยมากๆ เลย ถือว่า ทดแทน ซากุระ ที่ไม่ได้เห็นได้เลยทีเดียว มีทั้งชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวตื่นเต้นกับภาพดอกบ๊วยที่อยู่เบี้องหน้า พากันถ่ายรูปกันสนุกสนาน ถ่ายรูปเพลิน ลืมไปว่าอยู่ในวัด เราต้องไปไหว้พระนี่หน่า
เดินขึ้นไปเราจะเยอะกับเทวรูปมากมาย วางเรียงอยู่ มีทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่เต็มไปหมด เค้าบอกว่าเทวรูปเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับเด็กทารกที่เสียชีวิตจากการทำแท้งแหละ น่าสงสารจังทำแท้งกันเยอะขนาดนี้เลยอะ เดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอกับวิหารสีเลือดหมู สไตล์ญี่ปุ่นต่างๆ แต่ยังไม่เข้าวิหารดีกว่า ขอเดินดูรอบๆ ก่อน รอบๆ ก็จะมีพระพุทธรูปอยู่เช่นกัน และดอกบ๊วยของเราก็ยังไม่หมด ข้างบนก็ยังมี เดินไปเรื่อยๆ จะมีมุมให้ชมวิวเมือง Kamakura และอ่าว Sakami เราจะได้เห็นทะเลกันจากมุมนี้ด้วย ริมสุดจะมีวิหารเก็บคัมภีร์ต่างๆ ที่เก็บคัมภีร์เป็นไม้ สามารถหมุนได้ด้วย ใกล้ๆ กันนั้นก็มีร้านขายอาหารด้วย เดินต่อไปก็จะเป็นทางเข้าสู่ Prospect Road ชื่อไฮโซดีไหม จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็เป็นทางเดินขึ้นไปบนไหล่เขา ระหว่างทางก็จะมีพันธุ์ไม้ดอกให้ชื่นชม แต่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เลยมีแต่กิ่งๆ มีดอกไม้ให้เห็นบ้าง แต่ก็น้อยมาก ระหว่างทางก็จะมีพระพุทธรูปให้เราสักการะตามรายทาง บางช่วงต้นไม้จะแวกออกไป ทำให้เราก็สามารถเห็นวิวเมือง Kamakura ได้ด้วย เดินลงจากเขา ออกจาก Prospect Road กลับมาบริเวณชมวิว เพิ่งสังเกตุเห็นนกที่บินไปบินมาอยู่บนฟ้าว่า มันคือ นกอินทรีย์ ตัวใหญ่ สง่างามดีจัง
ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลัก แล้วหุ้มด้วยทอง ซึ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นภายในวิหารที่เราผ่านไปตอนแรก องค์ทองอร่ามสวยงามมากเลย ชื่นชมความงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมสักพัก ก็กลับออกมา เดินลงไปชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยมากเลยอะ ขอบอก ลองเดินไปอีกด้านของสวน เราจะพบกับถ้ำ เป็นไง amazing ไหม มีทั้งเขา มีทั้งถ้ำ มีทั้งดอกไม้ เป็นวัดที่คุ้มจริงๆ ภายในถ้ำ ก็จะเป็นทางมืดๆ ให้เราเดิน อารมณ์ตื่นเต้นนิดๆ น้องผู้หญิงชาวญี่ปุ่นร้องกลัว เกาะขาคุณพ่อของเค้าใหญ่เลย แต่น้องผู้ชายอีกคนเนี่ยซิ ไม่กลัว วิ่งใหญ่เลย พอเข้าไปเราจะพบกับเทวรูปนับร้อยอีกเช่นกัน ตอนขาออกเพดานถ้ำจะเตี้ยมาก เราต้องย่อตัวเดินออกมา ก็สนุกดี ก่อนจะลาจากวัด Hasedera ก็ขอชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยจริงๆ เลย
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551
เสาโทริที่ศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha
หลังจากที่เราขึ้นรถไฟ JR Nara Line กลับมา เราก็ยังไม่กลับ Kyoto แต่จะแวะที่ศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอกขาว ที่มีชื่อว่า ศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ก่อน สถานีที่เราจะลงก็คือ สถานี Inari มันเป็นสถานีก่อนที่จะถึง Kyoto 2 สถานีได้ ก็ต้องระวังนิดนึงสำหรับรถไฟสาย Nara Line เพราะว่ามันจะมีบางคันที่เป็นรถด่วน จะจอดบางสถานี และจะไม่จอดที่สถานี Inari นี้ เพราะฉะนั้น ก็ดูให้ดีว่ามันผ่านหรือป่าวถ้าจะไป ไม่งั้นต้องนั่งไป Kyoto แล้วนั่งรถสายเดิมย้อนกลับมาอีก เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน นั่งประมาณเกือบชั่วโมงก็จะถึง ตอนออกไป ก็งงว่าจะไปทางไหน แต่เหลือบไปเห็นตรายางให้ stamp ก็ขอ stamp เป็นที่ระลึกก่อนละกัน พยายามหาแผ่นที่อยู่สักพัก หันไปหันมา อ้าว เนี่ยมันทางเข้าศาลเจ้า นี่หน่า เห็น girl gang ชาวญี่ปุ่น โพสท่าถ่ายรูปกันใหญ่ เราเองก็ไม่พลาดขอถ่ายบ้าง งั้นเดินเข้าไปกันเลยละกัน
พอเดินเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงตัวศาล เช่นเคยศาลที่นี้ก็ทาสีกันเป็นสีแดงสดกันหมด สวยทีเดียว
งานนี้ไม่เสียตังค์ เย้ หน้าทางเข้าก็จะมีรูปปั้นหมาจิ้งจอกตัวใหญ่อยู่ 2 ข้าง ในศาล ก็มีส่วนให้เราสักการะ ถ้าจำไม่ผิด จะเห็นมีคนนั่งรอให้พระมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์กันหลายคนเลย ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าทำอะไร นึกว่านั่งพักเฉยๆ จะลองเข้าไปนั่งบ้าง แต่แอบเห็น มีชาวญี่ปุ่น พ่อลูก เดินเข้าไป แล้วแบบมีพระออกมาบอก แล้วเค้าก็ไม่เข้าไป มองเข้าไปเห็นกำลังสวดอะไรกันใหญ่ ก็เลยแค่ไหว้พระอยู่ข้างนอก เดินวนรอบศาลกลางวัด 1 รอบ เจอร้านขายเครื่องราง และของที่ระลึก แต่ก็ยังไม่เห็นเลย hi-light ของศาลนี้ที่ทุกคนจะต้องไปดู นั่นก็คือ เสาโทริ มากมายที่เรียงรายกันเป็นพันต้น หันไปหันมา อ่อ นั้นไง มีป้ายบอก ตามป้ายแผ่นที่จะเห็นว่า เสาโทริ เนี่ยมันเรียงกันเข้าไปถึงภูเขาด้านในซึ่งไกลมาก แล้วก็จะวนออกไปอีกทางนึง ก็เดินขึ้นไปตาม
บันไดที่ป้ายบอก เหมือนเข้าไปอีก zone นึงที่ค่อนข้างมืดหน่อย พอดีตอนนั้นประมาณ 4 โมงกว่าได้แล้ว บรรยากาศได้อารมณ์ทีเดียว พบแล้วเสาโทริ เป็นเสาต้นเล็กๆ ไม่ใหญ่มากสีแดง เรียงติดกันๆๆๆๆ ถี่ยิบเลย พอเข้าไปแล้วแสงแทบไม่ค่อยส่องลงมาถึงเลย จะเห็นว่าทึบมาก เหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์เลย เดินไปได้สักพัก เจอทางแยก แต่ดูแผ่นที่ อ่อ มันไปเจอที่เดียวกัน ก็โอเค นึกว่าจะหลงซะแล้ว เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับศาลเจ้าอีกส่วนนึง ก็เค้าไปสักการะตามระเบียบ แต่ขอเดินกลับแล้ว ถ้าเดินเข้าไปอีก กว่าจะออกมาเย็นแน่เลย เดี๋ยวกลับถึง Tokyo ช้า เนี่ย plan ไว้ว่าจะกลับไป Harajuku เพื่อซื้อรองเท้าคู่ที่หายไปซะหน่อย ก็เลยรีบเดินกลับออกมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับมา แต่แล้วพอกลับมารูปดันหายไป งงมาก ไม่รู้ไปไหน เศร้า เป็นศาลที่จำได้ว่ารูปออกมาสวยมากเลย แต่มันก็ไม่มี ฮือๆๆๆ
กลับออกจากศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ก็มุ่งหน้าสู่ Kyoto เลย ใช้เวลาไม่กี่สิบนาที ก็ถึง แต่เราก็ยังไม่กลับ Tokyo เลยทันทีนะ ยังมีงานต้องทำก่อนกลับ Tokyo นั่นคือ กลับไปยังโรงแรมห่านั้น แล้วไปดูว่ารองเท้ามันมายัง เนี่ยยังคิดในแง่ดีอยู่นะเนี่ย ไปถึงก็เหมือนเดิมกับตอนเช้ามีแค่รองเท้าแตะเก่าๆ กับ counter ที่ปราศจากผู้คน ไม่รู้ว่าตาลุงนั้นตายไปหรือยัง ก็เลยไปไหว้พระที่ศาลเจ้าเทพเจ้าลิงข้างๆ แล้วก็สาปแช่งไอ้หัวขโมย อย่างที่เล่าไป โอเคช่างมันเถอะ เรื่องมันไม่ดี อย่าไปพูดถึง จากโรงแรมก็เดินกลับไปสถานี เอากระเป๋าออกจาก locker แล้วพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับ Tokyo ด้วยรถไฟความเร็วสูงอย่าง Hikari กะจะขึ้นรถไฟเที่ยวตอน 5 โมงแต่แล้ววิ่งแทบตายก็ไม่ทัน ก็เลยต้องไปนั่งรอเที่ยวต่อไป อีก 35 นาทีรถไฟถึงจะมา ระหว่างนั้นก็ไปซื้อข้าวหน้าปลาไหลบนสถานีมานั่งกินละกัน
จาก Kyoto กลับ Tokyo นั้นก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ระหว่างทางเนี่ยซิ วิวสุดยอดเลย มีผ่านช่วงนึงเป็นทุ่งหิมะ ตลอดทางเลย แปลกมาก แต่พอเลยช่วงนี้ไปหิมะก็จะหายไปหมด amazing จริงๆ ถ่ายรูปมาเยอะมากเลยช่วงนั้น แต่แล้วก็หายไปอย่างที่บอก ขอเศร้าอีกรอบละกัน นั่งมานาน ในที่สุดก็ถึงแล้ว รีบต่อรถไฟ ไปลง Harajuku กันเลย ทั้งๆ ที่แบกกระเป๋าใบยักษ์อยู่ ตอนนี้ก็ 2 ทุ่มนิดๆได้แล้ว นั่งรถไฟต่อไปลง Harajuku ก็ 3 ทุ่มได้ รีบบึ่งไปร้านทันที กระเป๋าก็หนัก ไปถึง ร้านปิด เฮ่อ นึกว่าจะทัน กู เสียเที่ยว เพราะไอ้โรงแรมห่านั้นอันเดียว ตอนนี้โทษแม่งหมดแล้ว ตอนแรกว่าจะไปเดินแถว Gion ที่ Kyoto ก่อนแล้วค่อยกลับ Tokyo แต่เนี่ยจะรีบกลับไปซื้อรองเท้าเลยต้องรีบกลับ แต่ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้กลับมาซื้อใหม่ละกัน คือชอบมากเลยคู่นี้ ยังไงก็ต้องซื้อ นั่งรถไฟกลับ Shibuya เพื่อรอเจอภูริตอน 5 ทุ่มดีกว่า Shibuya กับ Harajuku จริงๆ มันห่างกันแค่ สถานีเดียวเอง จะเดินไปก็ยังได้ แต่ว่ากระเป๋าใบยักษ์เนี่ยแหละ ไม่ไหวยังไงเราก็มีบัตร JR Pass ผ่านตลอดทุกสถานีไม่ต้องกลัวเปลือง ไปถึง Shibuya ก็ฝากกระเป๋าที่ locker แล้ว ไปหาอะไรกิน วันนี้คงหาอะไรกินที่อยากกิน แต่ยังไม่กินดีกว่า เอาเป็นว่า ข้าวหน้าเนื้อละกัน ตอนแรกว่าจะกิน Yoshinoya แต่ว่าไปลองร้านที่ไม่เคยลองดีกว่าว่าแล้วก็เข้าไปกดคูปอง ยื่นให้พนักงาน ได้ละข้าวหน้าเนื้อ 1 จาน ไปถึงเอาไข่เท แล้วก็กิน รสชาติก็จืดๆ ธรรมดาๆ เดินเล่นไปๆ มาๆ แถว Shibuya จนถึง 5 ทุ่ม ก็เจอกับภูริที่เดิม Starbuck ภูริก็พาไปร้านขายของที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ (ไม่ถึงกับทุกอย่างหรอก แต่ก็มีเยอะจริงๆ) ตั้งแต่ขนม เสื้อผ้า ของเล่น ของใช้ เครื่องไฟฟ้า กระเป๋า brand name ก็ยังมี ร้านนี้ชื่อว่า Donki ถือว่าเป็นร้านที่ดีร้านนึง แถมยังเปิด 24 ชั่วโมงด้วย ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่เว็ปของร้านได้ นี่เป็น link ของสาขา Shibuya ลองซื้อโฟมเปลี่ยนสีผมให้ทองไปลองใส่ดีกว่า เสร็จวันนี้ก็กลับไปนอนที่บ้านภูริ หมดไปอีก 1 วัน
credit picture from wikipedia
พอเดินเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงตัวศาล เช่นเคยศาลที่นี้ก็ทาสีกันเป็นสีแดงสดกันหมด สวยทีเดียว


กลับออกจากศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ก็มุ่งหน้าสู่ Kyoto เลย ใช้เวลาไม่กี่สิบนาที ก็ถึง แต่เราก็ยังไม่กลับ Tokyo เลยทันทีนะ ยังมีงานต้องทำก่อนกลับ Tokyo นั่นคือ กลับไปยังโรงแรมห่านั้น แล้วไปดูว่ารองเท้ามันมายัง เนี่ยยังคิดในแง่ดีอยู่นะเนี่ย ไปถึงก็เหมือนเดิมกับตอนเช้ามีแค่รองเท้าแตะเก่าๆ กับ counter ที่ปราศจากผู้คน ไม่รู้ว่าตาลุงนั้นตายไปหรือยัง ก็เลยไปไหว้พระที่ศาลเจ้าเทพเจ้าลิงข้างๆ แล้วก็สาปแช่งไอ้หัวขโมย อย่างที่เล่าไป โอเคช่างมันเถอะ เรื่องมันไม่ดี อย่าไปพูดถึง จากโรงแรมก็เดินกลับไปสถานี เอากระเป๋าออกจาก locker แล้วพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับ Tokyo ด้วยรถไฟความเร็วสูงอย่าง Hikari กะจะขึ้นรถไฟเที่ยวตอน 5 โมงแต่แล้ววิ่งแทบตายก็ไม่ทัน ก็เลยต้องไปนั่งรอเที่ยวต่อไป อีก 35 นาทีรถไฟถึงจะมา ระหว่างนั้นก็ไปซื้อข้าวหน้าปลาไหลบนสถานีมานั่งกินละกัน
จาก Kyoto กลับ Tokyo นั้นก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ระหว่างทางเนี่ยซิ วิวสุดยอดเลย มีผ่านช่วงนึงเป็นทุ่งหิมะ ตลอดทางเลย แปลกมาก แต่พอเลยช่วงนี้ไปหิมะก็จะหายไปหมด amazing จริงๆ ถ่ายรูปมาเยอะมากเลยช่วงนั้น แต่แล้วก็หายไปอย่างที่บอก ขอเศร้าอีกรอบละกัน นั่งมานาน ในที่สุดก็ถึงแล้ว รีบต่อรถไฟ ไปลง Harajuku กันเลย ทั้งๆ ที่แบกกระเป๋าใบยักษ์อยู่ ตอนนี้ก็ 2 ทุ่มนิดๆได้แล้ว นั่งรถไฟต่อไปลง Harajuku ก็ 3 ทุ่มได้ รีบบึ่งไปร้านทันที กระเป๋าก็หนัก ไปถึง ร้านปิด เฮ่อ นึกว่าจะทัน กู เสียเที่ยว เพราะไอ้โรงแรมห่านั้นอันเดียว ตอนนี้โทษแม่งหมดแล้ว ตอนแรกว่าจะไปเดินแถว Gion ที่ Kyoto ก่อนแล้วค่อยกลับ Tokyo แต่เนี่ยจะรีบกลับไปซื้อรองเท้าเลยต้องรีบกลับ แต่ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้กลับมาซื้อใหม่ละกัน คือชอบมากเลยคู่นี้ ยังไงก็ต้องซื้อ นั่งรถไฟกลับ Shibuya เพื่อรอเจอภูริตอน 5 ทุ่มดีกว่า Shibuya กับ Harajuku จริงๆ มันห่างกันแค่ สถานีเดียวเอง จะเดินไปก็ยังได้ แต่ว่ากระเป๋าใบยักษ์เนี่ยแหละ ไม่ไหวยังไงเราก็มีบัตร JR Pass ผ่านตลอดทุกสถานีไม่ต้องกลัวเปลือง ไปถึง Shibuya ก็ฝากกระเป๋าที่ locker แล้ว ไปหาอะไรกิน วันนี้คงหาอะไรกินที่อยากกิน แต่ยังไม่กินดีกว่า เอาเป็นว่า ข้าวหน้าเนื้อละกัน ตอนแรกว่าจะกิน Yoshinoya แต่ว่าไปลองร้านที่ไม่เคยลองดีกว่าว่าแล้วก็เข้าไปกดคูปอง ยื่นให้พนักงาน ได้ละข้าวหน้าเนื้อ 1 จาน ไปถึงเอาไข่เท แล้วก็กิน รสชาติก็จืดๆ ธรรมดาๆ เดินเล่นไปๆ มาๆ แถว Shibuya จนถึง 5 ทุ่ม ก็เจอกับภูริที่เดิม Starbuck ภูริก็พาไปร้านขายของที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ (ไม่ถึงกับทุกอย่างหรอก แต่ก็มีเยอะจริงๆ) ตั้งแต่ขนม เสื้อผ้า ของเล่น ของใช้ เครื่องไฟฟ้า กระเป๋า brand name ก็ยังมี ร้านนี้ชื่อว่า Donki ถือว่าเป็นร้านที่ดีร้านนึง แถมยังเปิด 24 ชั่วโมงด้วย ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่เว็ปของร้านได้ นี่เป็น link ของสาขา Shibuya ลองซื้อโฟมเปลี่ยนสีผมให้ทองไปลองใส่ดีกว่า เสร็จวันนี้ก็กลับไปนอนที่บ้านภูริ หมดไปอีก 1 วัน
credit picture from wikipedia
วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551
มุ่งสู่ Nara เมืองแห่งอารยธรรม
หลังจากตัดสินใจปล่อยวางกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ขนกระเป๋าไปเก็บไว้ใน locker จริงๆ ทางโรงแรมก็มีบริการฝากกระเป๋า แต่ว่าฝากไปก็คงเท่านั้น ไม่ปลอดภัยหรอก ไปเก็บใน locker เองยังจะปลอดภัยซะกว่า นี่ก็ 8 โมงแล้ว รีบไปดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันรถไฟ จากสถานี Kyoto สามารถนั่ง JR Nara Line ไปลงที่สถานี Nara ได้ก็ขึ้นต้นสาย ลงปลายสายเลย สบายได้นั่งสบายๆ พอออกจากสถานี Nara ก็ขอแวะ Tourist Information Counter อยู่ตรงสถานีเลย ไปถึงก็มี 3 ช่องด้วยกัน รู้สึกช่องนึงจะเป็นสำหรับซื้อทัวร์ชมเมือง อีก 2 ช่องจะเป็นสำหรับให้ข้อมูลท่องเที่ยว ไปถึงก็มีฝรั่ง 2 คน ถามบ้าอะไรไม่รู้นานมาก จนมีคนมาต่อเต็มไปหมด ในที่สุดก็ถึงคิวเรา ก่อนจะถาม คุณน้าในตู้ขอสลับกับอีกตู้นึง เพราะดูเธอจะไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ ก็คุยกับคุณน้าอีกคน แกแนะนำดีมาก ถามว่าเราจะทัวร์เมืองแบบเดินหรือป่าว เธอก็แนะนำว่าเนี่ย วัดนี้ popular เวลาเดินก็เดินตามนี้ ไปทางนี้ บอกเวลาเสร็จศัพท์ว่าจากนี้ไปนี้กี่นาที เค้าลากให้ในแผนที่ให้หมดเลย หน้าที่ของเราคือเดินตามทางที่เค้าลากไว้เลย friendly มากๆ เจ้าหน้าที่ที่นี้ willing to help everyone จริงๆ ตอนจบเธอก็จะมาถามว่าเราเป็นคนประเทศไหนอะไรอย่างนั้น
เริ่มเดินกันเลย จากสถานี Nara เราจะเดินไปตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ ตามทางก็จะเป็นร้านขายของต่างๆ ถ้าใครยังไม่จุใจกับข้อมูลการท่องเที่ยวก็สามารถแวะ Nara City Tourist Center ซึ่งอยู่บนถนนนี้ได้ นอกจากนี้ยังมี Sega World อีกด้วย พอดีผ่านกับร้าน minimart เลยแวะซื้ออาหารเช้าซะหน่อย ก็ซื้อพวก sandwiches, ข้าวปั้นมา 2-3 ชิ้น แล้วก็ที่ชอบมาเลย คือ ซุปข้าวโพดกระป๋อง เค้าแช่ไว้ที่ตู้ร้อน อากาศตอนนั้นกำลังหนาวซื้อมาถือไว้เนี่ยเยี่ยมไปเลย จาก minimart เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้วจุดหมายแรกของเรา วัด Kofukuji ถ้าเดินตามถนน Sanjodori จะเห็นเจดีย์ของวัดนี้ก่อน ก็เลี้ยวเข้าไปเลย แอบแวะหลบ ยืนเอาของที่ซื้อมาเมื่อกี้กินซะหน่อย ซุปข้าวโพดเนี่ยอร่อยได้ใจมาก มันร้อนกำลังดี รสชาติก็อร่อย อยากให้เมืองไทยมีขายแบบนี้จัง มาพูดถึงวัดกันดีกว่าจากจุดที่ยืนกิน เราเดินมาเจอกับเจดีย์ 3 ชั้นกันก่อน เจดีย์นี้หลบอยู่ในมุมของวัด รู้สึกไม่ค่อยมีใครผ่านมาเจอ ใกล้ๆ กันก็จะมีพระพุทธรูปหินมากมายเรียงรายอยู่ เดินขึ้นมาหน่อย ก็เจอกับศาลาสีแดง คิดว่ามันคือ Tokondo Hall ให้เราสักการะขอพรกัน เดินไปหน่อย กวางๆ เจอแล้วกวางตัวแรกใน Nara แล้วก็จะเจอกับเจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเจดีย์ที่สูงอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ถัดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งเราต้องจ่ายเงินเข้าชม พอดีเห็นว่าแค่เดินเข้าไปนิดเดียว วนไปวนมา แป๊บเดียว ลุงที่เพิ่งเข้าไปก็ออกมา ก็เลยไม่จ่ายเข้าไป
จากวัด Kofukuji เราจะเดินต่อไปยังวัด Todaiji พอออกจากวัด Kofukuji ก็จะเข้าเขตของ Nara Park แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ Nara ทุกคนคงรู้ว่า มันก็คือ กวาง กวาง กวาง แล้วก็กวาง มองซ้ายก็เจอ มองขวาก็เจอ ถ้าเดินไม่ระวังก็จะเหยียบขี้กวางได้ เห็นนักท่องเที่ยวกรี๊ดกร๊าดกับกวางใหญ่ ระหว่างทางก็จะผ่านกับ Nara National Meseum มีหลายตึกมากเลย อยู่ภายในสวนเนี่ยแหละ มีรถลากรับจ้างกำลังหาลูกค้า ผ่านวัดเล็กๆ อะไรไม่รู้ เดินผ่าน Nara National Meseum แล้วก็เลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะเจอกับ Nandaimon Gate ประตูไม้ขนาดยักษ์ เสาแต่ละต้น ทำมาจากต้นไม้ทั้งต้น แล้วก็ต้นนึงก็ไม่ใช่เล็กๆ ด้วย ประตูนี้น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าตึก 4 ชั้นนะ น่าจะสูงกว่านั้นแหละ ภายในประตูก็จะมียักษ์แกะสลัก ทำจากไม้สูงเท่ากับประตูเลย มีกลุ่มเด็กๆ มาทัศนศึกษาด้วย น่ารักดี คุณครู พยายามให้นักเรียนถ่ายรูปกับกวางใหญ่ น่ารักดี ผ่านประตูด้านขวาก็จะเป็นสระน้ำ แล้วก็เหมือนมีศาลอยู่กลางน้ำ เดินต่อไปก็จะเจอกับประตูแดงชั้นสุดท้าย ก่อนถึงตัววัด ตรงประตูนี้ก็มียักษ์อีก 2 ตน แต่เค้าไม่ให้เราเข้าผ่านประตูนี้นะ ต้องเดินอ้อมไปทางซ้าย ก็จะเจอจุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม แล้วค่อยเข้าทางนั้น
เดินเข้าไป ก็จะเห็นวิหารของวัด ขนาดใหญ่มากๆ สูงกว่าประตู Nandaimon ด้วยมั้ง ยิ่งใหญ่ดี วิหารสีแนวทึมๆ สร้างจากไม้ ข้างบนประดับด้วยช่อฟ้าสีทองอร่ามเลย วัดดูเหมือนมี 2 ชั้น เดินเข้าไปตรงกลาง ก็มีเหมือนเป็นกระถางธูป ด้านขวาก็เป็นที่ให้เราล้างไม้ ล้างมือก่อนเข้าวัด ยืนชื่นชมความยิ่งใหญ่ของวัดด้านนอกสักพัก ถึงเข้าไปด้านใน ก็ตะลึงกับ Daibutsu พระพุทธรูปองค์ใหญ่ยักษ์มากๆๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายในมีพระพุทธรูป คือ ก่อนหน้านี้ดูเฉยๆ ว่าวัดนี้มีอะไรบ้าง ก็เลยตะลึงกับองค์ Daibutsu มาก องค์พระสีดำ ไม่แน่ใจว่าทำจากอะไร ด้านหลังองค์พระเป็นรัศมี สีทอง กลีบบัวที่องค์พระนั่งอยู่ก็มีลวดลายงดงามมากเลย ถัดจากองค์พระมาทางขวา เป็นเจ้าแม่หรืออะไรไม่รู้ องค์สีทอง เท่ากับองค์ Daibutsu เลย เดินอ้อมไปด้านหลังขององค์พระ จะมีแบบจำลองของวัดในสมัยก่อน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ยังมีพวกยักษ์ตัวใหญ่ 2 ตน รวมถึงพวกสิ่งที่ประดับต่างๆ บนหลังคาของวัด ทางด้านขวาขององค์ Daibutsu จะมีเสาอยู่เสานึง จะมีรูให้เด็กๆ มุดเข้า มุดออกกันให้สนุกสนาน ในวิหารก็จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยเช่นกัน เห็นหนังสือบอกเล่าประวัติขององค์พระ เห็นน่ารักดีเลยซื้อมา
ออกมาจากวัด Todaiji เราก็จะเดินไปยัง Nigatsudo Hall ตามที่คุณน้าแกแนะนำว่า nice view จากวัด Todaiji ก็เดินขึ้นไปไม่ไกลก็จะถึง ระหว่างทางก็จะเจอกับ Great Bell เป็นระฆังใบใหญ่ของวัด Todaiji แหละ แต่ทำไมถึงมาตั้งไกลจัง พอเดินถึง Nigatsudo Hall ก็เจอกับกลุ่มทัวร์อีกเช่นเคย เค้าก็มาดูวิวเหมือนเราแหละ ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ที่ Nigatsudo Hall นี้ก็เหมือนมีเจ้าอยู่ด้วย เห็นเค้าไหว้กันใหญ่ ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่เค้าใช้ทำพิธีทางศาสนากัน วิวจากบนนี้สวยเหมือนกัน เห็นตัวเมือง Nara แล้วก็เลยไปอีกด้านนึงของภูเขาเลย ก่อนที่จะเดินต่อ ก็ขอแวะที่นั่งพักที่เค้าจัดให้ก่อนละกัน เอาเสบียงที่ซื้อไว้ตั้งแต่เช้าออกมากิน พอเดินออกมาจาก Nigatsudo Hall เดินเลาะมาตามทางก็จะเจอกับวัด ศาล หรือบ้านเก่าๆ เรียงรายอยู่ ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน
จาก Nigatsudo Hall เราก็จะเดินต่อไปยังศาลเจ้า Kasuka Taisha กันต่อ ระหว่างทางเราจะเดินเลียบไปกับเขา Wakakusayama ซึ่งด้านนึงก็จะเป็นร้านขายของ ขนม ของที่ระลึก ส่วนอีกด้านก็จะเป็นภูเขา ซึ่งเราก็จะเจอกวางอีกเช่นเคย ยืนต้อนรับขออาหารจากนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จาก Nigatsudo Hall เดินไกลพอควรกว่าจะถึง แต่ด้วยอากาศเย็นแบบนี้ ก็ไม่ร้อน สบาย พอถึงและข้ามสะพานสีแดงไปแล้ว เราจะเห็นบรรยากาศที่จากที่โล่งๆ ต้นไม้ไม่สูงนัก เป็นบรรยากาศครึ้มๆ จากเงาต้นไม้สูง อยู่ภายหน้า ก็มีศาลเจ้าเล็กๆ ต้อนรับเราให้สักการะกันเลย ต้นไม้ตรงศาลนี้จะมีขนาดใหญ่มาก เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะถึงตัวศาลเจ้าสีแดงสดสวย ที่ศาลเจ้านี้ เราจะเห็นนักบวชผู้หญิง ที่ใส่เสื้อสีขาวและใส่กางเกงแดงกัน พยายามจะถ่ายรูปเหล่านักบวชหญิง แต่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ว่าเราจะถ่ายรูปเค้าหรือยังไง เดินกันเร็วมาก ถ่ายไม่ทันเลย ที่ศาลนี้จะมีตะเกียงอยู่โดยรอบศาล ทั้งโคมไฟที่ห้อยอยู่ รวมถึงโคมหินต่างๆ พอเราจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมด้านใน ก็จะพบกับสวนหิน และต้น Apple ขนาดใหญ่ภายใน ด้านในก็จะมีศาลต่างๆ ให้เราเคารพ สักการะ น่าเสียดายที่รูปตั้งแต่ส่วนนี้หายไปหมดเลย เศร้ามาก
พอออกจากศ่าล Kasuka Taisha เราก็สามารถเดินเข้าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติของทางศาลเจ้าได้ แต่ขี้เกียจเดินเข้าไป เห็นตรงทางเข้าก็เป็นต้นไม้ทึบๆ เลย งั้นก็เดินกลับตัวเมือง Nara กันดีกว่า จากศาล Kasuka Taisha เราก็จะเดินผ่านส่วนของ Nara Park กลับไปยังวัด Kofukiji ที่ตอนเช้าเราไปมา พอดียังเห็นว่ามีเวลาเหลือ คุณน้าตอนนั้นแนะนำไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินดูบ้านเรือนเก่าๆ ก็ให้ดูใน zone นี้ซึ่งจะอยู่ติดกับวัด Kofukiji เลย ลองเดินดีกว่า ภายในก็จะเป็นบ้านเรือนไม้รูปร่างน่ารักๆ กับถนน ซอยเล็กๆ บางบ้านก็เปิดเป็นร้านขายขนมญี่ปุ่น บางบ้านก็ขายของ บางบ้านก็เป็นบ้านที่อยู่อาศัย จริงๆ รูปในช่วงนี้ เท่าที่จำได้จะค่อนข้างให้อารมณ์ที่น่ารักๆ บ้านเล็กๆ ถนนเล็กๆ แต่ดันหายไปหมด กูละเซ็ง เดินพอแล้วถึงเวลากลับ ขากลับเราก็จะเดินกลับกันทางเดิมคือ เดินตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ Nara เพื่อเดินทางกลับ Kyoto และแล้วก็คงต้องลาแล้วกับเมือง Nara เมืองที่ชื่นชอบอีกแห่งสำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งนี้
เริ่มเดินกันเลย จากสถานี Nara เราจะเดินไปตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ ตามทางก็จะเป็นร้านขายของต่างๆ ถ้าใครยังไม่จุใจกับข้อมูลการท่องเที่ยวก็สามารถแวะ Nara City Tourist Center ซึ่งอยู่บนถนนนี้ได้ นอกจากนี้ยังมี Sega World อีกด้วย พอดีผ่านกับร้าน minimart เลยแวะซื้ออาหารเช้าซะหน่อย ก็ซื้อพวก sandwiches, ข้าวปั้นมา 2-3 ชิ้น แล้วก็ที่ชอบมาเลย คือ ซุปข้าวโพดกระป๋อง เค้าแช่ไว้ที่ตู้ร้อน อากาศตอนนั้นกำลังหนาวซื้อมาถือไว้เนี่ยเยี่ยมไปเลย จาก minimart เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้วจุดหมายแรกของเรา วัด Kofukuji ถ้าเดินตามถนน Sanjodori จะเห็นเจดีย์ของวัดนี้ก่อน ก็เลี้ยวเข้าไปเลย แอบแวะหลบ ยืนเอาของที่ซื้อมาเมื่อกี้กินซะหน่อย ซุปข้าวโพดเนี่ยอร่อยได้ใจมาก มันร้อนกำลังดี รสชาติก็อร่อย อยากให้เมืองไทยมีขายแบบนี้จัง มาพูดถึงวัดกันดีกว่าจากจุดที่ยืนกิน เราเดินมาเจอกับเจดีย์ 3 ชั้นกันก่อน เจดีย์นี้หลบอยู่ในมุมของวัด รู้สึกไม่ค่อยมีใครผ่านมาเจอ ใกล้ๆ กันก็จะมีพระพุทธรูปหินมากมายเรียงรายอยู่ เดินขึ้นมาหน่อย ก็เจอกับศาลาสีแดง คิดว่ามันคือ Tokondo Hall ให้เราสักการะขอพรกัน เดินไปหน่อย กวางๆ เจอแล้วกวางตัวแรกใน Nara แล้วก็จะเจอกับเจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเจดีย์ที่สูงอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ถัดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งเราต้องจ่ายเงินเข้าชม พอดีเห็นว่าแค่เดินเข้าไปนิดเดียว วนไปวนมา แป๊บเดียว ลุงที่เพิ่งเข้าไปก็ออกมา ก็เลยไม่จ่ายเข้าไป
จากวัด Kofukuji เราจะเดินต่อไปยังวัด Todaiji พอออกจากวัด Kofukuji ก็จะเข้าเขตของ Nara Park แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ Nara ทุกคนคงรู้ว่า มันก็คือ กวาง กวาง กวาง แล้วก็กวาง มองซ้ายก็เจอ มองขวาก็เจอ ถ้าเดินไม่ระวังก็จะเหยียบขี้กวางได้ เห็นนักท่องเที่ยวกรี๊ดกร๊าดกับกวางใหญ่ ระหว่างทางก็จะผ่านกับ Nara National Meseum มีหลายตึกมากเลย อยู่ภายในสวนเนี่ยแหละ มีรถลากรับจ้างกำลังหาลูกค้า ผ่านวัดเล็กๆ อะไรไม่รู้ เดินผ่าน Nara National Meseum แล้วก็เลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะเจอกับ Nandaimon Gate ประตูไม้ขนาดยักษ์ เสาแต่ละต้น ทำมาจากต้นไม้ทั้งต้น แล้วก็ต้นนึงก็ไม่ใช่เล็กๆ ด้วย ประตูนี้น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าตึก 4 ชั้นนะ น่าจะสูงกว่านั้นแหละ ภายในประตูก็จะมียักษ์แกะสลัก ทำจากไม้สูงเท่ากับประตูเลย มีกลุ่มเด็กๆ มาทัศนศึกษาด้วย น่ารักดี คุณครู พยายามให้นักเรียนถ่ายรูปกับกวางใหญ่ น่ารักดี ผ่านประตูด้านขวาก็จะเป็นสระน้ำ แล้วก็เหมือนมีศาลอยู่กลางน้ำ เดินต่อไปก็จะเจอกับประตูแดงชั้นสุดท้าย ก่อนถึงตัววัด ตรงประตูนี้ก็มียักษ์อีก 2 ตน แต่เค้าไม่ให้เราเข้าผ่านประตูนี้นะ ต้องเดินอ้อมไปทางซ้าย ก็จะเจอจุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม แล้วค่อยเข้าทางนั้น
เดินเข้าไป ก็จะเห็นวิหารของวัด ขนาดใหญ่มากๆ สูงกว่าประตู Nandaimon ด้วยมั้ง ยิ่งใหญ่ดี วิหารสีแนวทึมๆ สร้างจากไม้ ข้างบนประดับด้วยช่อฟ้าสีทองอร่ามเลย วัดดูเหมือนมี 2 ชั้น เดินเข้าไปตรงกลาง ก็มีเหมือนเป็นกระถางธูป ด้านขวาก็เป็นที่ให้เราล้างไม้ ล้างมือก่อนเข้าวัด ยืนชื่นชมความยิ่งใหญ่ของวัดด้านนอกสักพัก ถึงเข้าไปด้านใน ก็ตะลึงกับ Daibutsu พระพุทธรูปองค์ใหญ่ยักษ์มากๆๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายในมีพระพุทธรูป คือ ก่อนหน้านี้ดูเฉยๆ ว่าวัดนี้มีอะไรบ้าง ก็เลยตะลึงกับองค์ Daibutsu มาก องค์พระสีดำ ไม่แน่ใจว่าทำจากอะไร ด้านหลังองค์พระเป็นรัศมี สีทอง กลีบบัวที่องค์พระนั่งอยู่ก็มีลวดลายงดงามมากเลย ถัดจากองค์พระมาทางขวา เป็นเจ้าแม่หรืออะไรไม่รู้ องค์สีทอง เท่ากับองค์ Daibutsu เลย เดินอ้อมไปด้านหลังขององค์พระ จะมีแบบจำลองของวัดในสมัยก่อน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ยังมีพวกยักษ์ตัวใหญ่ 2 ตน รวมถึงพวกสิ่งที่ประดับต่างๆ บนหลังคาของวัด ทางด้านขวาขององค์ Daibutsu จะมีเสาอยู่เสานึง จะมีรูให้เด็กๆ มุดเข้า มุดออกกันให้สนุกสนาน ในวิหารก็จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยเช่นกัน เห็นหนังสือบอกเล่าประวัติขององค์พระ เห็นน่ารักดีเลยซื้อมา
ออกมาจากวัด Todaiji เราก็จะเดินไปยัง Nigatsudo Hall ตามที่คุณน้าแกแนะนำว่า nice view จากวัด Todaiji ก็เดินขึ้นไปไม่ไกลก็จะถึง ระหว่างทางก็จะเจอกับ Great Bell เป็นระฆังใบใหญ่ของวัด Todaiji แหละ แต่ทำไมถึงมาตั้งไกลจัง พอเดินถึง Nigatsudo Hall ก็เจอกับกลุ่มทัวร์อีกเช่นเคย เค้าก็มาดูวิวเหมือนเราแหละ ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ที่ Nigatsudo Hall นี้ก็เหมือนมีเจ้าอยู่ด้วย เห็นเค้าไหว้กันใหญ่ ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่เค้าใช้ทำพิธีทางศาสนากัน วิวจากบนนี้สวยเหมือนกัน เห็นตัวเมือง Nara แล้วก็เลยไปอีกด้านนึงของภูเขาเลย ก่อนที่จะเดินต่อ ก็ขอแวะที่นั่งพักที่เค้าจัดให้ก่อนละกัน เอาเสบียงที่ซื้อไว้ตั้งแต่เช้าออกมากิน พอเดินออกมาจาก Nigatsudo Hall เดินเลาะมาตามทางก็จะเจอกับวัด ศาล หรือบ้านเก่าๆ เรียงรายอยู่ ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน
จาก Nigatsudo Hall เราก็จะเดินต่อไปยังศาลเจ้า Kasuka Taisha กันต่อ ระหว่างทางเราจะเดินเลียบไปกับเขา Wakakusayama ซึ่งด้านนึงก็จะเป็นร้านขายของ ขนม ของที่ระลึก ส่วนอีกด้านก็จะเป็นภูเขา ซึ่งเราก็จะเจอกวางอีกเช่นเคย ยืนต้อนรับขออาหารจากนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จาก Nigatsudo Hall เดินไกลพอควรกว่าจะถึง แต่ด้วยอากาศเย็นแบบนี้ ก็ไม่ร้อน สบาย พอถึงและข้ามสะพานสีแดงไปแล้ว เราจะเห็นบรรยากาศที่จากที่โล่งๆ ต้นไม้ไม่สูงนัก เป็นบรรยากาศครึ้มๆ จากเงาต้นไม้สูง อยู่ภายหน้า ก็มีศาลเจ้าเล็กๆ ต้อนรับเราให้สักการะกันเลย ต้นไม้ตรงศาลนี้จะมีขนาดใหญ่มาก เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะถึงตัวศาลเจ้าสีแดงสดสวย ที่ศาลเจ้านี้ เราจะเห็นนักบวชผู้หญิง ที่ใส่เสื้อสีขาวและใส่กางเกงแดงกัน พยายามจะถ่ายรูปเหล่านักบวชหญิง แต่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ว่าเราจะถ่ายรูปเค้าหรือยังไง เดินกันเร็วมาก ถ่ายไม่ทันเลย ที่ศาลนี้จะมีตะเกียงอยู่โดยรอบศาล ทั้งโคมไฟที่ห้อยอยู่ รวมถึงโคมหินต่างๆ พอเราจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมด้านใน ก็จะพบกับสวนหิน และต้น Apple ขนาดใหญ่ภายใน ด้านในก็จะมีศาลต่างๆ ให้เราเคารพ สักการะ น่าเสียดายที่รูปตั้งแต่ส่วนนี้หายไปหมดเลย เศร้ามาก
พอออกจากศ่าล Kasuka Taisha เราก็สามารถเดินเข้าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติของทางศาลเจ้าได้ แต่ขี้เกียจเดินเข้าไป เห็นตรงทางเข้าก็เป็นต้นไม้ทึบๆ เลย งั้นก็เดินกลับตัวเมือง Nara กันดีกว่า จากศาล Kasuka Taisha เราก็จะเดินผ่านส่วนของ Nara Park กลับไปยังวัด Kofukiji ที่ตอนเช้าเราไปมา พอดียังเห็นว่ามีเวลาเหลือ คุณน้าตอนนั้นแนะนำไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินดูบ้านเรือนเก่าๆ ก็ให้ดูใน zone นี้ซึ่งจะอยู่ติดกับวัด Kofukiji เลย ลองเดินดีกว่า ภายในก็จะเป็นบ้านเรือนไม้รูปร่างน่ารักๆ กับถนน ซอยเล็กๆ บางบ้านก็เปิดเป็นร้านขายขนมญี่ปุ่น บางบ้านก็ขายของ บางบ้านก็เป็นบ้านที่อยู่อาศัย จริงๆ รูปในช่วงนี้ เท่าที่จำได้จะค่อนข้างให้อารมณ์ที่น่ารักๆ บ้านเล็กๆ ถนนเล็กๆ แต่ดันหายไปหมด กูละเซ็ง เดินพอแล้วถึงเวลากลับ ขากลับเราก็จะเดินกลับกันทางเดิมคือ เดินตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ Nara เพื่อเดินทางกลับ Kyoto และแล้วก็คงต้องลาแล้วกับเมือง Nara เมืองที่ชื่นชอบอีกแห่งสำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)