จาก Daibutsu เราจะนั่งรถกลับมายังสถานี Kamakura เพื่อเดินไปยังจุดหมายถัดไป ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมือง Kamakura นี้ วิธีการเดินทางก็ไม่ยาก จากสถานี Kamakura ก็หาเสาโทริสีแดงให้เจอ แล้วก็เดินเข้าไปเลย ตลอดถนนสายนี้ก็จะเป็นร้านขายของ ขายอาหาร ขายขนม และที่ฮิตก็คือ softcream เช่นเคย บนถนนเส้นนี้ผู้คนค่อนข้างเยอะ เดินไปเรื่อยๆ ดูข้าวดูของตามทาง พอถึงสุดทาง ก็เลี้ยวขวา จะเห็นเสาโทริสีแดงขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่
พอผ่านเสาโทริ ก็จะเห็นสะพานหินเก่าๆ อันนึง แต่เข้าไม่ให้เราข้าม ต้องไปข้ามสะพานข้างๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ด้านขวาจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ก่อนจะถึงตัวศาล เราจะเห็นร้านเล็กตั้งขายขนมเป็นระยะ แต่ที่ชอบคือ ต้นไม้ใหญ่มาก แล้วก็เยอะด้วย เห็นเดียวกับวัดหรือศาลเจ้าหลายๆ ที่ เราจะเห็นสาวๆ หรือสาวเหลือน้อย แต่งชุดกิโมโนมาไหว้พระกัน เดินเข้าไปเรื่อยๆ เราจะเห็นศาลาสีแดงเป็นอย่างแรกเลย ทางด้านซ้ายของศาลา เราจะเห็นซุ้มที่เก็บเหล้าต่างๆ ไว้ พวกเหล้าพวกนี้เค้าเก็บไว้ตอนฉลองงานต่างๆ ก่อนที่เราจะขึ้นบันไดไป เราจะเจอกับต้นไม้ที่แห้งอยู่ ไม่แน่ใจว่าตายยัง แต่ดูเก่าแก่มากเลย ต้นเนี่ยใหญ่เชียว เค้าเอาเชือกผูกไว้ เหมือนเป็นต้นศักดิสิทธิ์ประมาณนั้นด้วย เดินขึ้นบันไดไป ก็จะเจอกับซุ้มประตูสีแดง ผ่านซุ้มประตูเข้าไปก็จะถึงตัวศาล ตัวศาลสร้างจากไม้ ทาสีออกเลือดหมู ไม่เหมือนศาลอื่นที่จะทาออกแดงไปเลย ตามจั่ว ตามหลังคา เสาต่างๆ ก็จะทาสี หรือวาดภาพไว้สวยงาม ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องไหว้เจ้า สักการะกันแล้ว ไปกันมาก็หลายวัด หลายศาลแล้ว ยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่า เวลาชาวญี่ปุ่นไหว้เจ้าเนี่ยเค้าไหว้กันยังไง จากที่สังเกตุมาไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าถูกหรือป่าว แต่ก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาไหว้อะ
1. บริจาคเงิน โดยโยนเหรียญแล้วแต่ศรัทธา ลงสู่ที่รับเหรียญด้านหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นตู้ไม้ แล้วมีไม้วางเป็นซี่ๆ ด้านบน ไม่เหมือนบ้านเราที่เป็นตู้พลาสติก จะโยนเป็นเหรียญ 100 เยน 500 เยน ก็ได้แล้วแต่ท่าน ยิ่งเหรียญราคาแพง เสียงที่กระทบกับไม้ก็ยิ่งดัง หนักแน่น แต่เราเบี้ยน้อยหอยน้อย โยนเหรียญต่ำๆ แทบไม่ได้ยินเสียงกระทบไว้เลย
2. จะปรบมือสัก 2-3 ที หรือถ้าตรงนั้นมีกระดิ่งก็สั่นกระดิ่ง ระฆัง หรือฆ้อง แล้วแต่วัดจะเตรียมอะไรไว้ตรงนั้น แตกต่างกันแล้วแต่วัด แอบมีเกร็ดเล็กๆ คือ ต้องสั่นแรงๆ ให้ดังๆ เข้าไว้ อันนี้ก็ไม่รู้นะ สังเกตุมา
3. ยกมือไหว้ อธิษฐาน จะเป็นภาษาอะไรแล้วแต่สะดวก คิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจทุกภาษานะ แค่นี้ก็เสร็จสรรพ กับการไหว้เจ้า
กลับมาสู่ศาล Tsurugaoka Hachimangu หลังจากที่เราไหว้เจ้าเสร็จ ข้างๆ จะมีตู้จำหน่ายคูปองเพื่อเข้าไปชมพวกวัตถุโบราณของวัด ราคา 200 เยน ก็ลองกดดู เดินเข้าไป ทีแรกก็นึกว่าจะได้เดินรอบตัวศาลแล้ววนกลับมา ที่ไหนได้ เดินเข้าไป เลี้ยว 1 ทียังเดินไม่ถึงครึ่งก็หมด วนออกมาแล้ว ไม่คุ้มอย่างแรง ภายในก็จะเป็นของโบราณต่างๆ รู้สึกว่าจะเป็นของโชกุนนะ พวกเสื้อคลุม พวกตำรา หนังสือ ภาพวาด ประมาณนั้นนะ ออกมาจากศาล แอบมองเข้าไปข้างใน รู้สึกเค้าจะทำพิธีอะไรกันด้านใน เดินออกมาจากศาล ลองวนไปอีกทางด้านนึง ก็จะเจอกับศาลอะไรสักอย่าง แล้วก็มีต้นไม้ศักดิสิทธิ์ หินศักดิสิทธิ์ (มั้ง) แล้วสุดท้ายก็เป็นเสาโทริหิน ค่อนข้างจะเก่าทีเดียว จากตรงนี้เราสามารถเดินเข้าไปชมสวนดอกไม้ของศาลเจ้าได้ แต่ต้องเสียเงินนะ มาคิดดูตอนนี้ฤดูหนาวคงไม่ค่อยมีดอกไม้อะไรมากหรอก ก็เลยไม่เข้าไป แต่บริเวณหน้าทางเข้าสวนจะมีดอกบ๊วยให้ถ่ายรูปกันอีกแล้ว สวยดี ชอบ สวนนี้จะติดกับสระน้ำที่ตอนแรกเจอแหละ ที่สระนี้ก็จะมีเป็ดเต็มเลย ก็จะมีชาวญี่ปุ่น นั่งพักผ่อนให้อาหารเป็ดกันอยู่หลายคน แต่จริงๆ ในสระก็จะมีปลาคาร์ฟด้วย พอโยนอาหารลงไป ก็จะแย่งกันระหว่างเป็ดกับปลา ตลกดี เดินเรื่อยมาหน่อย ก็จะเจอกับสะพานเดินข้ามไปที่เกาะกลางสระได้ บนเกาะก็จะมีศาลเล็กๆ รอบๆ ศาลก็จะมีธงอะไรปักอยู่เต็มเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคือธงอะไรเหมือนกัน พอออกจากเกาะกลางสระ ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่หน้าศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu พอดี ก็คงได้เวลาต้องลาจากซะแล้ว
ขากลับเดินกลับอีกทาง คือทางที่ตรงกับศาลพอดี ทางนี้จะเป็นทางเท้า ที่อยู่ตรงกลางระหว่างถนน ทั้งสองด้านของทางเท้าจะมีต้นไม้ คาดว่าเป็นต้นซากุระ ถ้าบานจะต้องสวยแน่นอนเลยอะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ ที่ญี่ปุ่นพอดี ก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบๆ ข้าง บางคนเดินไปตบแปะกับเพื่อนไป ก็ดีไม่ต้องระวังรถเลย เพราะไม่มีรถแน่ๆ ดูปลอดภัยดีจัง ตอนใกล้จะสุดทางกลับถึงสถานี จะเจอกับร้านขายขนมรูปนกพิราบ คิดว่าเป็นขนมชื่อดังของที่นี้นะ ร้านสีขาวใหญ่เชียว แต่ไม่ได้ลองเข้าไปดูนะ แล้วก็ถึงสถานี Kamakura แล้ว ตอนนี้ก็ขอนั่งรถไฟกลับไปยัง Tokyo เพื่อไปเดินแถว Akihabara กันต่อ
พอถึงสถานี Tokyo เราก็ต่อรถไฟมาลงที่สถานี Akihabara ตอนนั้นประมาณบ่าย 5 ได้ เดินออกจากสถานีได้ไม่ทันไร ก็จะเห็นสาวๆ มาแจกใบปลิว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวเสื้อผ้าเลยไม่ค่อยจะแปลกซะเท่าไหร่มั้ง ได้ข่าวว่าปกติจะแต่งชุดพวก maid กัน ก็อย่างที่ทราบๆ กันย่านนี้เป็นย่านที่ขายของ electronic เยอะ ก็เห็นเต็มไปหมดเลย ทั้ง Bic Camera และร้านอื่นๆ แอบจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่ที่สนใจนอกจากพวกของ electronic ก็คือพวก model, figure ญี่ปุ่นต่างๆ ที่แอบหลบอยู่บนชั้น 2 ของตึกต่างๆ ก็ลองมั่วเดินขึ้นไป ตามตึกต่างๆ และแล้วก็ได้ของมาบางส่วน จริงๆ อยากซื้อมากกว่านี้แต่กลัวขนกลับไม่ไหว ก็เลยหยุดไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ลองเดินไปอีกด้านนึงของ Akihabara ก็เจอส่วนที่ให้ความรู้สึกแบบคลองถม คือ เค้าจะเอาพวกอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใส่กล่อง แล้ววางขาย ติดป้ายถูกๆ อะไรแบบนั้น ตอนนี้ก็เริ่มเย็นละ มั่วเสียเวลากับหาของเล่น พอดีเจอร้านขายข้าวแกงกระหรี่ ชื่อ Curry Kitchen ก็เลยเข้าไปกินข้าวแกงกระหรี่รองท้อง เหมือนเดิม หยอดเหรียญ เอาคูปองส่งให้พนักงาน แล้วก็รอกิน พอกินแล้วรู้สึกรสชาติธรรมดาๆ สู้วันก่อนแถว Shibuya ที่กินกับภูริกับพี่ต้าไม่ได้ เสร็จก็นั่งรถกลับ Shibuya เพื่อไปเจอภูริ แล้วไปเดินแถว Loft แล้วก็กลับไปที่บ้าน พักผ่อน ก็หมดไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่จะได้เที่ยงญี่ปุ่นเต็มๆ วันเป็นวันสุดท้าย คิดแล้วเศร้าอยากอยู่ต่อจัง
วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
เวลาไหว้วัดหรือศาลเจ้ามันไม่เหมือนกันนะ
แต่ก็ไหว้ ๆ ไปเถอะ คนญี่ปุ่นเองก็ไหว้มั่ว ๆ
แล้วเวลาโยนเหรียญ เค้าต้องใช้เหรียญมีรูเท่านั้น
เช่น เหรียญ 5 หรือ 50
แสดงความคิดเห็น