จากวัด Hasedera เราจะเดินกันต่อไปที่วัดที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่นี้เลยก็ว่าได้ ถ้าใครมา Kamakura แล้วไม่มาที่นี้ก็ถือว่าไม่ได้มาเลยก็ว่าได้ นั่นคือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง องค์ Daibutsu นั่นเอง ระหว่างทางก็จะมีร้านขาย softcream มากมาย โคน softcream สีม่วงเขียวอันใหญ่ตั้งอยู่หน้าร้าน เชิญชวนให้เข้าไปลิ้มลอง แต่เอาไว้ขากลับก่อนละกันนะ ไม่พลาดแน่ เดินได้สักพักก็จะถึงตัววัดแล้ว
ถึงแล้ว ตามระเบียบต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมซะก่อน 200 เยน เดินเข้าไปจะเป็นทางแยก 2 ด้าน ด้านซ้ายจะมีพวกต้นไม้ ต้นสนปลุกอยู่ ส่วนด้านขวามองไม่เห็นว่ามีอะไร งั้นไปทางขวาดีกว่า เดี๋ยวค่อยเดินมาทางซ้ายตอนกลับ พอเลี้ยวไปทางขวาปุ๊บ ก็จะเจอเลยองค์ Daibutsu อะไรมันจะง่ายอย่างนี้ ส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย มันง่ายดีจัง hi-light ของสถานที่ต่างๆ พอจ่ายค่าเข้าชมปุ๊บ เลี้ยว 1 ทีก็จะเห็นเลย น่าจะเอาให้ตื่นเต้นซะนิดนะ กลับมาที่ Daibutsu จากตรงนี้จะเป็นภาพที่สวยมาก องค์พระสีฟ้าอมเขียว มีร่องรอยผ่านแดดผ่านฝนมานานนับร้อยปี ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ที่ลานกลางแจ้ง ด้านหลังเป็นภูเขาและท้องฟ้าสีฟ้า สวยมากเลย หยุดชื่นชมไม่ได้ เดินเข้าไปใกล้ เรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า ทำไมเล็กกว่าที่คิดเยอะจัง น่าจะสูงประมาณตึก 2 ชั้นเอง สูงไม่เท่า Daibutsu ที่ Nara ตัวองค์พระทำมาจากสำริด เดิมที่มีวิหารอยู่ แต่เพราะว่าเกิด สึนามิ ขึ้นที่ชายฝั่งเมือง Kamakura ถล่มตัววัดจนเสียหาย แต่มีแต่องค์พระที่ยังเหลืออยู่ ตั้งแต่นั้นมาองค์ Daibutsu ก็ตั้งอยู่กลางแจ้งมาตลอด เดินวนชมความงามขององค์พระซะ 1 รอบ ด้านหลังขององค์พระมีช่องเปิดออกมา เลยทำให้รู้ว่าด้านในนั้นกลวง เราสามารถเดินเข้าไปดูข้างในได้ โดยจ่าย 20 เยนเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร จ่ายเงินเข้าไป ก็สมกับราคาที่จ่ายไป เดินไปมา 2 ก้าวก็ทั่วตัวพระ ข้างในมืดๆ มีทางเดินขึ้นไปที่ช่องด้านหลังขององค์พระที่เปิดอยู่ แต่เค้าไม่ให้ขึ้น เดินรอบ 2 รอบรู้สึกอึดอัดคนเรื่อยเยอะ ขอออกดีกว่า ด้านข้างๆ ขององค์พระจะมีศาลา ด้านในจะมีขายเครื่องรางและของที่ระลึก นอกจากนั้นก็ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน และตรงนี้เอง เราจะเห็นรองเท้าขนาดใหญ่ขององค์ Daibutsu ด้วย
จากตัวองค์พระ ลองเดินไปส่วนอื่นกันบ้าง ทางด้านหลังขององค์พระ จะมีศาลากับเทวรูปให้เราได้สักการะกัน รวมถึงห้องน้ำด้วย แต่อันนี้ไม่เกี่ยวกับการสักการะนะ บอกไว้เฉยๆ สรุปก็คือ ไม่มีอะไรแหละ เดินกลับมาชื่นชอบองค์พระกันซะอีกรอบ คราวนี้ลองเดินกลับไปอีกทางด้านที่เป็นต้นสนดีกว่า เอ๊ะ ทำไมมีป้ายภาษาคุ้นตา ไปดูใกล้ๆ หน่อยซิ อ้าวนี่มันภาษาไทยนี่หน่า เค้าเขียนว่าต้นสนต้นนี้เป็นต้นสนที่ ร. 7 ได้มาปลูกไว้ (จริงๆ เขียนเป็นภาษาทางการนะ)เดินไปอีกนิด ก็เป็นต้นที่ ร. 6 และก็เจ้าฟ้าชาย เคยปลูกไว้อีกด้วย ถ้าไปก็อย่าลืมไปแวะดูกันนะ
เสร็จจาก Diabutsu เดินกลับมาทางเดิม ก็ไม่ลืมสัญญา softcream 1 โคน เป็นรสชาเขียวและบลูเบอรี่ อร่อยดี หวานๆ กินตอนหน้าหนาว เย็นเชียว เยอะมากเลยกว่าจะกินหมด ไม่เหมือนไอติม Mac มีแต่ที่อยู่เหนือโคน ใต้โคนนี่กลวง ไม่ไหว กินหมด ก็ถึงสถานีพอดี ตอนนั้นก็เที่ยงได้แล้ว ตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินอะไร พอดีตรงสถานี Hase มีร้านราเมนอยู่ร้านนึงพอดี ชื่อร้าน Goten Ramen ถ้าจำไม่ผิด อยู่บนชั้น 2 ของร้าน 100 เยนตรงสถานี ก็เดินขึ้นไป ไปถึงก็สั่ง Goten Ramen ชื่อเดียวกับร้านเนี่ยแหละ ก็ได้ราเมนมา 1 ชาม อร่อยดีเหมือนกัน น้ำซุปเข้มข้นรสเกลือ คิดว่าเป็น Shio Ramen เนี่ยแหละ แต่ว่าคงปรับปรุง ปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย มีใส่หน่อไม้ซึ่งหวานดี แล้วก็สาหร่าย อร่อยดี แต่ก็มันเหมือนกัน กินเสร็จ ก็นั่งรถไฟ กลับไปยังสถานี Kamakura เพื่อไปยังจุดหมายถัดไป
วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551
วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551
มุ่งสู่ Kamakura และดอกบ๊วยที่บานสะพรั่ง
22 กุมภา
วันนี้ปลุกนาฬิกาไว้ 8.30 แต่กว่าจะตื่นเอาเข้าจริงๆ ก็ 9 โมง ส่วนภูรินะหรอ ยังนอนอุตุ วันนี้จะไป Kamakura แต่ภูริไม่ได้ไปด้วยนะ รายนั้นต้องไป lab ไม่ว่างไปเที่ยวด้วย กว่าจะออก กว่าจะถึงสถานี Tokyo การจะไป Kamakura เราจะต้องไปต่อรถไฟ JR สาย JR Yokosuka สรุปกว่าจะได้ขึ้นก็ 10.10 ยังไม่ได้กินไรเลย เช้านี้ เอาขนมใบเมเปิ้ล ขึ้นมากินดีกว่า คงยังจำกันได้ว่าขนมนี้เป็นขนมขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima จาก Hiroshima จะบอกว่าซื้อมา 3 อัน เพิ่งได้กินหมดก็วันนี้เอง เหอๆ
จากตารางเดินรถมันบอกว่านั่งต้นสายที่สถานี Tokyo แล้วก็นั่งไปสุดสายที่สถานี Kamakura เพราะฉะนั้น ก็แค่นั่งไปเรื่อยๆ จนสุดสายก็ถึง ก็แค่มองดูป้ายว่าสถานีนี้คือ Kamakura หรือยัง แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น พอถึงสถานี Ofuna ก็เห็นคนลงหมด เหลือแค่เรากับพวกฝรั่งไม่กี่คน ที่ยังนั่งอยู่ รถไฟก็จอดอยู่สักพัก รถก็เคลื่อนที่ แต่เอ๊ะ ทำไมถึงวิ่งย้อนกลับไปทางที่มาเมื่อกี้นี้เนี่ย ตายห่า เกิดไรขึ้น พอนั่งไปถึงสถานี่ต่อไป Totsuka ก็รีบลง แต่แอบหลบกลุ่มฝรั่งหน่อย เดี๋ยวมันจะนึกว่าไอ้นี้ก็โง่เหมือนกัน แล้วก็นั่งย้อนกลับไปใหม่ แล้วก็ไปต่ออีกด้านนึง มันถึงจะไป Kamakura ต้องดูป้ายที่เค้าเขียนไว้ข้างบน
ในที่สุดก็ถึง Kamakura ออกจากสถานี เราจะต่อรถไฟของที่นี้กันต่อ แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้ว เพราะมันไม่ใช่ JR แต่แล้วเรามีบัตร PASSMO สามารถเอามาใช้ได้ จากสถานี Kamakura เรานั่งรถไฟ รถไฟที่ Kamakura เนี่ยน่ารักดี คันไม่ยาวมาก ข้างในมีพวกการ์ตูนด้วย ถ้าจำไม่ผิด เราจะมาลงที่สถานี Hase จากสถานีเดินไปไม่ไกลก็จะถึงวัด Hasedera เราจะเห็นโคมไฟสีแดงอยู่ที่หน้าประตูวัด และต้นสน แต่พอมองลอดโคมไฟเข้าไป เท่านั้น ก็ตะลึงกับดอกบ๊วยที่บานสะพรั่งอยู่ภายในวัด สวยโคตรสวยเลย งั้นรีบจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 300 เยนแล้วเข้าไปเลยดีกว่า ในวัดจะเป็นสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้ แต่จะมีต้นบ๊วย ที่มีดอกบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เป็นภาพที่สวยมากๆ เลย ถือว่า ทดแทน ซากุระ ที่ไม่ได้เห็นได้เลยทีเดียว มีทั้งชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวตื่นเต้นกับภาพดอกบ๊วยที่อยู่เบี้องหน้า พากันถ่ายรูปกันสนุกสนาน ถ่ายรูปเพลิน ลืมไปว่าอยู่ในวัด เราต้องไปไหว้พระนี่หน่า
เดินขึ้นไปเราจะเยอะกับเทวรูปมากมาย วางเรียงอยู่ มีทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่เต็มไปหมด เค้าบอกว่าเทวรูปเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับเด็กทารกที่เสียชีวิตจากการทำแท้งแหละ น่าสงสารจังทำแท้งกันเยอะขนาดนี้เลยอะ เดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอกับวิหารสีเลือดหมู สไตล์ญี่ปุ่นต่างๆ แต่ยังไม่เข้าวิหารดีกว่า ขอเดินดูรอบๆ ก่อน รอบๆ ก็จะมีพระพุทธรูปอยู่เช่นกัน และดอกบ๊วยของเราก็ยังไม่หมด ข้างบนก็ยังมี เดินไปเรื่อยๆ จะมีมุมให้ชมวิวเมือง Kamakura และอ่าว Sakami เราจะได้เห็นทะเลกันจากมุมนี้ด้วย ริมสุดจะมีวิหารเก็บคัมภีร์ต่างๆ ที่เก็บคัมภีร์เป็นไม้ สามารถหมุนได้ด้วย ใกล้ๆ กันนั้นก็มีร้านขายอาหารด้วย เดินต่อไปก็จะเป็นทางเข้าสู่ Prospect Road ชื่อไฮโซดีไหม จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็เป็นทางเดินขึ้นไปบนไหล่เขา ระหว่างทางก็จะมีพันธุ์ไม้ดอกให้ชื่นชม แต่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เลยมีแต่กิ่งๆ มีดอกไม้ให้เห็นบ้าง แต่ก็น้อยมาก ระหว่างทางก็จะมีพระพุทธรูปให้เราสักการะตามรายทาง บางช่วงต้นไม้จะแวกออกไป ทำให้เราก็สามารถเห็นวิวเมือง Kamakura ได้ด้วย เดินลงจากเขา ออกจาก Prospect Road กลับมาบริเวณชมวิว เพิ่งสังเกตุเห็นนกที่บินไปบินมาอยู่บนฟ้าว่า มันคือ นกอินทรีย์ ตัวใหญ่ สง่างามดีจัง
ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลัก แล้วหุ้มด้วยทอง ซึ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นภายในวิหารที่เราผ่านไปตอนแรก องค์ทองอร่ามสวยงามมากเลย ชื่นชมความงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมสักพัก ก็กลับออกมา เดินลงไปชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยมากเลยอะ ขอบอก ลองเดินไปอีกด้านของสวน เราจะพบกับถ้ำ เป็นไง amazing ไหม มีทั้งเขา มีทั้งถ้ำ มีทั้งดอกไม้ เป็นวัดที่คุ้มจริงๆ ภายในถ้ำ ก็จะเป็นทางมืดๆ ให้เราเดิน อารมณ์ตื่นเต้นนิดๆ น้องผู้หญิงชาวญี่ปุ่นร้องกลัว เกาะขาคุณพ่อของเค้าใหญ่เลย แต่น้องผู้ชายอีกคนเนี่ยซิ ไม่กลัว วิ่งใหญ่เลย พอเข้าไปเราจะพบกับเทวรูปนับร้อยอีกเช่นกัน ตอนขาออกเพดานถ้ำจะเตี้ยมาก เราต้องย่อตัวเดินออกมา ก็สนุกดี ก่อนจะลาจากวัด Hasedera ก็ขอชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยจริงๆ เลย
วันนี้ปลุกนาฬิกาไว้ 8.30 แต่กว่าจะตื่นเอาเข้าจริงๆ ก็ 9 โมง ส่วนภูรินะหรอ ยังนอนอุตุ วันนี้จะไป Kamakura แต่ภูริไม่ได้ไปด้วยนะ รายนั้นต้องไป lab ไม่ว่างไปเที่ยวด้วย กว่าจะออก กว่าจะถึงสถานี Tokyo การจะไป Kamakura เราจะต้องไปต่อรถไฟ JR สาย JR Yokosuka สรุปกว่าจะได้ขึ้นก็ 10.10 ยังไม่ได้กินไรเลย เช้านี้ เอาขนมใบเมเปิ้ล ขึ้นมากินดีกว่า คงยังจำกันได้ว่าขนมนี้เป็นขนมขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima จาก Hiroshima จะบอกว่าซื้อมา 3 อัน เพิ่งได้กินหมดก็วันนี้เอง เหอๆ
จากตารางเดินรถมันบอกว่านั่งต้นสายที่สถานี Tokyo แล้วก็นั่งไปสุดสายที่สถานี Kamakura เพราะฉะนั้น ก็แค่นั่งไปเรื่อยๆ จนสุดสายก็ถึง ก็แค่มองดูป้ายว่าสถานีนี้คือ Kamakura หรือยัง แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น พอถึงสถานี Ofuna ก็เห็นคนลงหมด เหลือแค่เรากับพวกฝรั่งไม่กี่คน ที่ยังนั่งอยู่ รถไฟก็จอดอยู่สักพัก รถก็เคลื่อนที่ แต่เอ๊ะ ทำไมถึงวิ่งย้อนกลับไปทางที่มาเมื่อกี้นี้เนี่ย ตายห่า เกิดไรขึ้น พอนั่งไปถึงสถานี่ต่อไป Totsuka ก็รีบลง แต่แอบหลบกลุ่มฝรั่งหน่อย เดี๋ยวมันจะนึกว่าไอ้นี้ก็โง่เหมือนกัน แล้วก็นั่งย้อนกลับไปใหม่ แล้วก็ไปต่ออีกด้านนึง มันถึงจะไป Kamakura ต้องดูป้ายที่เค้าเขียนไว้ข้างบน
ในที่สุดก็ถึง Kamakura ออกจากสถานี เราจะต่อรถไฟของที่นี้กันต่อ แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้ว เพราะมันไม่ใช่ JR แต่แล้วเรามีบัตร PASSMO สามารถเอามาใช้ได้ จากสถานี Kamakura เรานั่งรถไฟ รถไฟที่ Kamakura เนี่ยน่ารักดี คันไม่ยาวมาก ข้างในมีพวกการ์ตูนด้วย ถ้าจำไม่ผิด เราจะมาลงที่สถานี Hase จากสถานีเดินไปไม่ไกลก็จะถึงวัด Hasedera เราจะเห็นโคมไฟสีแดงอยู่ที่หน้าประตูวัด และต้นสน แต่พอมองลอดโคมไฟเข้าไป เท่านั้น ก็ตะลึงกับดอกบ๊วยที่บานสะพรั่งอยู่ภายในวัด สวยโคตรสวยเลย งั้นรีบจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 300 เยนแล้วเข้าไปเลยดีกว่า ในวัดจะเป็นสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้ แต่จะมีต้นบ๊วย ที่มีดอกบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เป็นภาพที่สวยมากๆ เลย ถือว่า ทดแทน ซากุระ ที่ไม่ได้เห็นได้เลยทีเดียว มีทั้งชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวตื่นเต้นกับภาพดอกบ๊วยที่อยู่เบี้องหน้า พากันถ่ายรูปกันสนุกสนาน ถ่ายรูปเพลิน ลืมไปว่าอยู่ในวัด เราต้องไปไหว้พระนี่หน่า
เดินขึ้นไปเราจะเยอะกับเทวรูปมากมาย วางเรียงอยู่ มีทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่เต็มไปหมด เค้าบอกว่าเทวรูปเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับเด็กทารกที่เสียชีวิตจากการทำแท้งแหละ น่าสงสารจังทำแท้งกันเยอะขนาดนี้เลยอะ เดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอกับวิหารสีเลือดหมู สไตล์ญี่ปุ่นต่างๆ แต่ยังไม่เข้าวิหารดีกว่า ขอเดินดูรอบๆ ก่อน รอบๆ ก็จะมีพระพุทธรูปอยู่เช่นกัน และดอกบ๊วยของเราก็ยังไม่หมด ข้างบนก็ยังมี เดินไปเรื่อยๆ จะมีมุมให้ชมวิวเมือง Kamakura และอ่าว Sakami เราจะได้เห็นทะเลกันจากมุมนี้ด้วย ริมสุดจะมีวิหารเก็บคัมภีร์ต่างๆ ที่เก็บคัมภีร์เป็นไม้ สามารถหมุนได้ด้วย ใกล้ๆ กันนั้นก็มีร้านขายอาหารด้วย เดินต่อไปก็จะเป็นทางเข้าสู่ Prospect Road ชื่อไฮโซดีไหม จริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็เป็นทางเดินขึ้นไปบนไหล่เขา ระหว่างทางก็จะมีพันธุ์ไม้ดอกให้ชื่นชม แต่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เลยมีแต่กิ่งๆ มีดอกไม้ให้เห็นบ้าง แต่ก็น้อยมาก ระหว่างทางก็จะมีพระพุทธรูปให้เราสักการะตามรายทาง บางช่วงต้นไม้จะแวกออกไป ทำให้เราก็สามารถเห็นวิวเมือง Kamakura ได้ด้วย เดินลงจากเขา ออกจาก Prospect Road กลับมาบริเวณชมวิว เพิ่งสังเกตุเห็นนกที่บินไปบินมาอยู่บนฟ้าว่า มันคือ นกอินทรีย์ ตัวใหญ่ สง่างามดีจัง
ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลัก แล้วหุ้มด้วยทอง ซึ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นภายในวิหารที่เราผ่านไปตอนแรก องค์ทองอร่ามสวยงามมากเลย ชื่นชมความงามขององค์เจ้าแม่กวนอิมสักพัก ก็กลับออกมา เดินลงไปชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยมากเลยอะ ขอบอก ลองเดินไปอีกด้านของสวน เราจะพบกับถ้ำ เป็นไง amazing ไหม มีทั้งเขา มีทั้งถ้ำ มีทั้งดอกไม้ เป็นวัดที่คุ้มจริงๆ ภายในถ้ำ ก็จะเป็นทางมืดๆ ให้เราเดิน อารมณ์ตื่นเต้นนิดๆ น้องผู้หญิงชาวญี่ปุ่นร้องกลัว เกาะขาคุณพ่อของเค้าใหญ่เลย แต่น้องผู้ชายอีกคนเนี่ยซิ ไม่กลัว วิ่งใหญ่เลย พอเข้าไปเราจะพบกับเทวรูปนับร้อยอีกเช่นกัน ตอนขาออกเพดานถ้ำจะเตี้ยมาก เราต้องย่อตัวเดินออกมา ก็สนุกดี ก่อนจะลาจากวัด Hasedera ก็ขอชมดอกบ๊วยกันอีกรอบ สวยจริงๆ เลย
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551
เสาโทริที่ศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha
หลังจากที่เราขึ้นรถไฟ JR Nara Line กลับมา เราก็ยังไม่กลับ Kyoto แต่จะแวะที่ศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอกขาว ที่มีชื่อว่า ศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ก่อน สถานีที่เราจะลงก็คือ สถานี Inari มันเป็นสถานีก่อนที่จะถึง Kyoto 2 สถานีได้ ก็ต้องระวังนิดนึงสำหรับรถไฟสาย Nara Line เพราะว่ามันจะมีบางคันที่เป็นรถด่วน จะจอดบางสถานี และจะไม่จอดที่สถานี Inari นี้ เพราะฉะนั้น ก็ดูให้ดีว่ามันผ่านหรือป่าวถ้าจะไป ไม่งั้นต้องนั่งไป Kyoto แล้วนั่งรถสายเดิมย้อนกลับมาอีก เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน นั่งประมาณเกือบชั่วโมงก็จะถึง ตอนออกไป ก็งงว่าจะไปทางไหน แต่เหลือบไปเห็นตรายางให้ stamp ก็ขอ stamp เป็นที่ระลึกก่อนละกัน พยายามหาแผ่นที่อยู่สักพัก หันไปหันมา อ้าว เนี่ยมันทางเข้าศาลเจ้า นี่หน่า เห็น girl gang ชาวญี่ปุ่น โพสท่าถ่ายรูปกันใหญ่ เราเองก็ไม่พลาดขอถ่ายบ้าง งั้นเดินเข้าไปกันเลยละกัน
พอเดินเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงตัวศาล เช่นเคยศาลที่นี้ก็ทาสีกันเป็นสีแดงสดกันหมด สวยทีเดียว
งานนี้ไม่เสียตังค์ เย้ หน้าทางเข้าก็จะมีรูปปั้นหมาจิ้งจอกตัวใหญ่อยู่ 2 ข้าง ในศาล ก็มีส่วนให้เราสักการะ ถ้าจำไม่ผิด จะเห็นมีคนนั่งรอให้พระมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์กันหลายคนเลย ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าทำอะไร นึกว่านั่งพักเฉยๆ จะลองเข้าไปนั่งบ้าง แต่แอบเห็น มีชาวญี่ปุ่น พ่อลูก เดินเข้าไป แล้วแบบมีพระออกมาบอก แล้วเค้าก็ไม่เข้าไป มองเข้าไปเห็นกำลังสวดอะไรกันใหญ่ ก็เลยแค่ไหว้พระอยู่ข้างนอก เดินวนรอบศาลกลางวัด 1 รอบ เจอร้านขายเครื่องราง และของที่ระลึก แต่ก็ยังไม่เห็นเลย hi-light ของศาลนี้ที่ทุกคนจะต้องไปดู นั่นก็คือ เสาโทริ มากมายที่เรียงรายกันเป็นพันต้น หันไปหันมา อ่อ นั้นไง มีป้ายบอก ตามป้ายแผ่นที่จะเห็นว่า เสาโทริ เนี่ยมันเรียงกันเข้าไปถึงภูเขาด้านในซึ่งไกลมาก แล้วก็จะวนออกไปอีกทางนึง ก็เดินขึ้นไปตาม
บันไดที่ป้ายบอก เหมือนเข้าไปอีก zone นึงที่ค่อนข้างมืดหน่อย พอดีตอนนั้นประมาณ 4 โมงกว่าได้แล้ว บรรยากาศได้อารมณ์ทีเดียว พบแล้วเสาโทริ เป็นเสาต้นเล็กๆ ไม่ใหญ่มากสีแดง เรียงติดกันๆๆๆๆ ถี่ยิบเลย พอเข้าไปแล้วแสงแทบไม่ค่อยส่องลงมาถึงเลย จะเห็นว่าทึบมาก เหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์เลย เดินไปได้สักพัก เจอทางแยก แต่ดูแผ่นที่ อ่อ มันไปเจอที่เดียวกัน ก็โอเค นึกว่าจะหลงซะแล้ว เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับศาลเจ้าอีกส่วนนึง ก็เค้าไปสักการะตามระเบียบ แต่ขอเดินกลับแล้ว ถ้าเดินเข้าไปอีก กว่าจะออกมาเย็นแน่เลย เดี๋ยวกลับถึง Tokyo ช้า เนี่ย plan ไว้ว่าจะกลับไป Harajuku เพื่อซื้อรองเท้าคู่ที่หายไปซะหน่อย ก็เลยรีบเดินกลับออกมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับมา แต่แล้วพอกลับมารูปดันหายไป งงมาก ไม่รู้ไปไหน เศร้า เป็นศาลที่จำได้ว่ารูปออกมาสวยมากเลย แต่มันก็ไม่มี ฮือๆๆๆ
กลับออกจากศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ก็มุ่งหน้าสู่ Kyoto เลย ใช้เวลาไม่กี่สิบนาที ก็ถึง แต่เราก็ยังไม่กลับ Tokyo เลยทันทีนะ ยังมีงานต้องทำก่อนกลับ Tokyo นั่นคือ กลับไปยังโรงแรมห่านั้น แล้วไปดูว่ารองเท้ามันมายัง เนี่ยยังคิดในแง่ดีอยู่นะเนี่ย ไปถึงก็เหมือนเดิมกับตอนเช้ามีแค่รองเท้าแตะเก่าๆ กับ counter ที่ปราศจากผู้คน ไม่รู้ว่าตาลุงนั้นตายไปหรือยัง ก็เลยไปไหว้พระที่ศาลเจ้าเทพเจ้าลิงข้างๆ แล้วก็สาปแช่งไอ้หัวขโมย อย่างที่เล่าไป โอเคช่างมันเถอะ เรื่องมันไม่ดี อย่าไปพูดถึง จากโรงแรมก็เดินกลับไปสถานี เอากระเป๋าออกจาก locker แล้วพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับ Tokyo ด้วยรถไฟความเร็วสูงอย่าง Hikari กะจะขึ้นรถไฟเที่ยวตอน 5 โมงแต่แล้ววิ่งแทบตายก็ไม่ทัน ก็เลยต้องไปนั่งรอเที่ยวต่อไป อีก 35 นาทีรถไฟถึงจะมา ระหว่างนั้นก็ไปซื้อข้าวหน้าปลาไหลบนสถานีมานั่งกินละกัน
จาก Kyoto กลับ Tokyo นั้นก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ระหว่างทางเนี่ยซิ วิวสุดยอดเลย มีผ่านช่วงนึงเป็นทุ่งหิมะ ตลอดทางเลย แปลกมาก แต่พอเลยช่วงนี้ไปหิมะก็จะหายไปหมด amazing จริงๆ ถ่ายรูปมาเยอะมากเลยช่วงนั้น แต่แล้วก็หายไปอย่างที่บอก ขอเศร้าอีกรอบละกัน นั่งมานาน ในที่สุดก็ถึงแล้ว รีบต่อรถไฟ ไปลง Harajuku กันเลย ทั้งๆ ที่แบกกระเป๋าใบยักษ์อยู่ ตอนนี้ก็ 2 ทุ่มนิดๆได้แล้ว นั่งรถไฟต่อไปลง Harajuku ก็ 3 ทุ่มได้ รีบบึ่งไปร้านทันที กระเป๋าก็หนัก ไปถึง ร้านปิด เฮ่อ นึกว่าจะทัน กู เสียเที่ยว เพราะไอ้โรงแรมห่านั้นอันเดียว ตอนนี้โทษแม่งหมดแล้ว ตอนแรกว่าจะไปเดินแถว Gion ที่ Kyoto ก่อนแล้วค่อยกลับ Tokyo แต่เนี่ยจะรีบกลับไปซื้อรองเท้าเลยต้องรีบกลับ แต่ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้กลับมาซื้อใหม่ละกัน คือชอบมากเลยคู่นี้ ยังไงก็ต้องซื้อ นั่งรถไฟกลับ Shibuya เพื่อรอเจอภูริตอน 5 ทุ่มดีกว่า Shibuya กับ Harajuku จริงๆ มันห่างกันแค่ สถานีเดียวเอง จะเดินไปก็ยังได้ แต่ว่ากระเป๋าใบยักษ์เนี่ยแหละ ไม่ไหวยังไงเราก็มีบัตร JR Pass ผ่านตลอดทุกสถานีไม่ต้องกลัวเปลือง ไปถึง Shibuya ก็ฝากกระเป๋าที่ locker แล้ว ไปหาอะไรกิน วันนี้คงหาอะไรกินที่อยากกิน แต่ยังไม่กินดีกว่า เอาเป็นว่า ข้าวหน้าเนื้อละกัน ตอนแรกว่าจะกิน Yoshinoya แต่ว่าไปลองร้านที่ไม่เคยลองดีกว่าว่าแล้วก็เข้าไปกดคูปอง ยื่นให้พนักงาน ได้ละข้าวหน้าเนื้อ 1 จาน ไปถึงเอาไข่เท แล้วก็กิน รสชาติก็จืดๆ ธรรมดาๆ เดินเล่นไปๆ มาๆ แถว Shibuya จนถึง 5 ทุ่ม ก็เจอกับภูริที่เดิม Starbuck ภูริก็พาไปร้านขายของที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ (ไม่ถึงกับทุกอย่างหรอก แต่ก็มีเยอะจริงๆ) ตั้งแต่ขนม เสื้อผ้า ของเล่น ของใช้ เครื่องไฟฟ้า กระเป๋า brand name ก็ยังมี ร้านนี้ชื่อว่า Donki ถือว่าเป็นร้านที่ดีร้านนึง แถมยังเปิด 24 ชั่วโมงด้วย ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่เว็ปของร้านได้ นี่เป็น link ของสาขา Shibuya ลองซื้อโฟมเปลี่ยนสีผมให้ทองไปลองใส่ดีกว่า เสร็จวันนี้ก็กลับไปนอนที่บ้านภูริ หมดไปอีก 1 วัน
credit picture from wikipedia
พอเดินเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงตัวศาล เช่นเคยศาลที่นี้ก็ทาสีกันเป็นสีแดงสดกันหมด สวยทีเดียว


กลับออกจากศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha ก็มุ่งหน้าสู่ Kyoto เลย ใช้เวลาไม่กี่สิบนาที ก็ถึง แต่เราก็ยังไม่กลับ Tokyo เลยทันทีนะ ยังมีงานต้องทำก่อนกลับ Tokyo นั่นคือ กลับไปยังโรงแรมห่านั้น แล้วไปดูว่ารองเท้ามันมายัง เนี่ยยังคิดในแง่ดีอยู่นะเนี่ย ไปถึงก็เหมือนเดิมกับตอนเช้ามีแค่รองเท้าแตะเก่าๆ กับ counter ที่ปราศจากผู้คน ไม่รู้ว่าตาลุงนั้นตายไปหรือยัง ก็เลยไปไหว้พระที่ศาลเจ้าเทพเจ้าลิงข้างๆ แล้วก็สาปแช่งไอ้หัวขโมย อย่างที่เล่าไป โอเคช่างมันเถอะ เรื่องมันไม่ดี อย่าไปพูดถึง จากโรงแรมก็เดินกลับไปสถานี เอากระเป๋าออกจาก locker แล้วพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับ Tokyo ด้วยรถไฟความเร็วสูงอย่าง Hikari กะจะขึ้นรถไฟเที่ยวตอน 5 โมงแต่แล้ววิ่งแทบตายก็ไม่ทัน ก็เลยต้องไปนั่งรอเที่ยวต่อไป อีก 35 นาทีรถไฟถึงจะมา ระหว่างนั้นก็ไปซื้อข้าวหน้าปลาไหลบนสถานีมานั่งกินละกัน
จาก Kyoto กลับ Tokyo นั้นก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ระหว่างทางเนี่ยซิ วิวสุดยอดเลย มีผ่านช่วงนึงเป็นทุ่งหิมะ ตลอดทางเลย แปลกมาก แต่พอเลยช่วงนี้ไปหิมะก็จะหายไปหมด amazing จริงๆ ถ่ายรูปมาเยอะมากเลยช่วงนั้น แต่แล้วก็หายไปอย่างที่บอก ขอเศร้าอีกรอบละกัน นั่งมานาน ในที่สุดก็ถึงแล้ว รีบต่อรถไฟ ไปลง Harajuku กันเลย ทั้งๆ ที่แบกกระเป๋าใบยักษ์อยู่ ตอนนี้ก็ 2 ทุ่มนิดๆได้แล้ว นั่งรถไฟต่อไปลง Harajuku ก็ 3 ทุ่มได้ รีบบึ่งไปร้านทันที กระเป๋าก็หนัก ไปถึง ร้านปิด เฮ่อ นึกว่าจะทัน กู เสียเที่ยว เพราะไอ้โรงแรมห่านั้นอันเดียว ตอนนี้โทษแม่งหมดแล้ว ตอนแรกว่าจะไปเดินแถว Gion ที่ Kyoto ก่อนแล้วค่อยกลับ Tokyo แต่เนี่ยจะรีบกลับไปซื้อรองเท้าเลยต้องรีบกลับ แต่ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้กลับมาซื้อใหม่ละกัน คือชอบมากเลยคู่นี้ ยังไงก็ต้องซื้อ นั่งรถไฟกลับ Shibuya เพื่อรอเจอภูริตอน 5 ทุ่มดีกว่า Shibuya กับ Harajuku จริงๆ มันห่างกันแค่ สถานีเดียวเอง จะเดินไปก็ยังได้ แต่ว่ากระเป๋าใบยักษ์เนี่ยแหละ ไม่ไหวยังไงเราก็มีบัตร JR Pass ผ่านตลอดทุกสถานีไม่ต้องกลัวเปลือง ไปถึง Shibuya ก็ฝากกระเป๋าที่ locker แล้ว ไปหาอะไรกิน วันนี้คงหาอะไรกินที่อยากกิน แต่ยังไม่กินดีกว่า เอาเป็นว่า ข้าวหน้าเนื้อละกัน ตอนแรกว่าจะกิน Yoshinoya แต่ว่าไปลองร้านที่ไม่เคยลองดีกว่าว่าแล้วก็เข้าไปกดคูปอง ยื่นให้พนักงาน ได้ละข้าวหน้าเนื้อ 1 จาน ไปถึงเอาไข่เท แล้วก็กิน รสชาติก็จืดๆ ธรรมดาๆ เดินเล่นไปๆ มาๆ แถว Shibuya จนถึง 5 ทุ่ม ก็เจอกับภูริที่เดิม Starbuck ภูริก็พาไปร้านขายของที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ (ไม่ถึงกับทุกอย่างหรอก แต่ก็มีเยอะจริงๆ) ตั้งแต่ขนม เสื้อผ้า ของเล่น ของใช้ เครื่องไฟฟ้า กระเป๋า brand name ก็ยังมี ร้านนี้ชื่อว่า Donki ถือว่าเป็นร้านที่ดีร้านนึง แถมยังเปิด 24 ชั่วโมงด้วย ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปดูที่เว็ปของร้านได้ นี่เป็น link ของสาขา Shibuya ลองซื้อโฟมเปลี่ยนสีผมให้ทองไปลองใส่ดีกว่า เสร็จวันนี้ก็กลับไปนอนที่บ้านภูริ หมดไปอีก 1 วัน
credit picture from wikipedia
วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551
มุ่งสู่ Nara เมืองแห่งอารยธรรม
หลังจากตัดสินใจปล่อยวางกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ขนกระเป๋าไปเก็บไว้ใน locker จริงๆ ทางโรงแรมก็มีบริการฝากกระเป๋า แต่ว่าฝากไปก็คงเท่านั้น ไม่ปลอดภัยหรอก ไปเก็บใน locker เองยังจะปลอดภัยซะกว่า นี่ก็ 8 โมงแล้ว รีบไปดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันรถไฟ จากสถานี Kyoto สามารถนั่ง JR Nara Line ไปลงที่สถานี Nara ได้ก็ขึ้นต้นสาย ลงปลายสายเลย สบายได้นั่งสบายๆ พอออกจากสถานี Nara ก็ขอแวะ Tourist Information Counter อยู่ตรงสถานีเลย ไปถึงก็มี 3 ช่องด้วยกัน รู้สึกช่องนึงจะเป็นสำหรับซื้อทัวร์ชมเมือง อีก 2 ช่องจะเป็นสำหรับให้ข้อมูลท่องเที่ยว ไปถึงก็มีฝรั่ง 2 คน ถามบ้าอะไรไม่รู้นานมาก จนมีคนมาต่อเต็มไปหมด ในที่สุดก็ถึงคิวเรา ก่อนจะถาม คุณน้าในตู้ขอสลับกับอีกตู้นึง เพราะดูเธอจะไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ ก็คุยกับคุณน้าอีกคน แกแนะนำดีมาก ถามว่าเราจะทัวร์เมืองแบบเดินหรือป่าว เธอก็แนะนำว่าเนี่ย วัดนี้ popular เวลาเดินก็เดินตามนี้ ไปทางนี้ บอกเวลาเสร็จศัพท์ว่าจากนี้ไปนี้กี่นาที เค้าลากให้ในแผนที่ให้หมดเลย หน้าที่ของเราคือเดินตามทางที่เค้าลากไว้เลย friendly มากๆ เจ้าหน้าที่ที่นี้ willing to help everyone จริงๆ ตอนจบเธอก็จะมาถามว่าเราเป็นคนประเทศไหนอะไรอย่างนั้น
เริ่มเดินกันเลย จากสถานี Nara เราจะเดินไปตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ ตามทางก็จะเป็นร้านขายของต่างๆ ถ้าใครยังไม่จุใจกับข้อมูลการท่องเที่ยวก็สามารถแวะ Nara City Tourist Center ซึ่งอยู่บนถนนนี้ได้ นอกจากนี้ยังมี Sega World อีกด้วย พอดีผ่านกับร้าน minimart เลยแวะซื้ออาหารเช้าซะหน่อย ก็ซื้อพวก sandwiches, ข้าวปั้นมา 2-3 ชิ้น แล้วก็ที่ชอบมาเลย คือ ซุปข้าวโพดกระป๋อง เค้าแช่ไว้ที่ตู้ร้อน อากาศตอนนั้นกำลังหนาวซื้อมาถือไว้เนี่ยเยี่ยมไปเลย จาก minimart เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้วจุดหมายแรกของเรา วัด Kofukuji ถ้าเดินตามถนน Sanjodori จะเห็นเจดีย์ของวัดนี้ก่อน ก็เลี้ยวเข้าไปเลย แอบแวะหลบ ยืนเอาของที่ซื้อมาเมื่อกี้กินซะหน่อย ซุปข้าวโพดเนี่ยอร่อยได้ใจมาก มันร้อนกำลังดี รสชาติก็อร่อย อยากให้เมืองไทยมีขายแบบนี้จัง มาพูดถึงวัดกันดีกว่าจากจุดที่ยืนกิน เราเดินมาเจอกับเจดีย์ 3 ชั้นกันก่อน เจดีย์นี้หลบอยู่ในมุมของวัด รู้สึกไม่ค่อยมีใครผ่านมาเจอ ใกล้ๆ กันก็จะมีพระพุทธรูปหินมากมายเรียงรายอยู่ เดินขึ้นมาหน่อย ก็เจอกับศาลาสีแดง คิดว่ามันคือ Tokondo Hall ให้เราสักการะขอพรกัน เดินไปหน่อย กวางๆ เจอแล้วกวางตัวแรกใน Nara แล้วก็จะเจอกับเจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเจดีย์ที่สูงอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ถัดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งเราต้องจ่ายเงินเข้าชม พอดีเห็นว่าแค่เดินเข้าไปนิดเดียว วนไปวนมา แป๊บเดียว ลุงที่เพิ่งเข้าไปก็ออกมา ก็เลยไม่จ่ายเข้าไป
จากวัด Kofukuji เราจะเดินต่อไปยังวัด Todaiji พอออกจากวัด Kofukuji ก็จะเข้าเขตของ Nara Park แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ Nara ทุกคนคงรู้ว่า มันก็คือ กวาง กวาง กวาง แล้วก็กวาง มองซ้ายก็เจอ มองขวาก็เจอ ถ้าเดินไม่ระวังก็จะเหยียบขี้กวางได้ เห็นนักท่องเที่ยวกรี๊ดกร๊าดกับกวางใหญ่ ระหว่างทางก็จะผ่านกับ Nara National Meseum มีหลายตึกมากเลย อยู่ภายในสวนเนี่ยแหละ มีรถลากรับจ้างกำลังหาลูกค้า ผ่านวัดเล็กๆ อะไรไม่รู้ เดินผ่าน Nara National Meseum แล้วก็เลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะเจอกับ Nandaimon Gate ประตูไม้ขนาดยักษ์ เสาแต่ละต้น ทำมาจากต้นไม้ทั้งต้น แล้วก็ต้นนึงก็ไม่ใช่เล็กๆ ด้วย ประตูนี้น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าตึก 4 ชั้นนะ น่าจะสูงกว่านั้นแหละ ภายในประตูก็จะมียักษ์แกะสลัก ทำจากไม้สูงเท่ากับประตูเลย มีกลุ่มเด็กๆ มาทัศนศึกษาด้วย น่ารักดี คุณครู พยายามให้นักเรียนถ่ายรูปกับกวางใหญ่ น่ารักดี ผ่านประตูด้านขวาก็จะเป็นสระน้ำ แล้วก็เหมือนมีศาลอยู่กลางน้ำ เดินต่อไปก็จะเจอกับประตูแดงชั้นสุดท้าย ก่อนถึงตัววัด ตรงประตูนี้ก็มียักษ์อีก 2 ตน แต่เค้าไม่ให้เราเข้าผ่านประตูนี้นะ ต้องเดินอ้อมไปทางซ้าย ก็จะเจอจุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม แล้วค่อยเข้าทางนั้น
เดินเข้าไป ก็จะเห็นวิหารของวัด ขนาดใหญ่มากๆ สูงกว่าประตู Nandaimon ด้วยมั้ง ยิ่งใหญ่ดี วิหารสีแนวทึมๆ สร้างจากไม้ ข้างบนประดับด้วยช่อฟ้าสีทองอร่ามเลย วัดดูเหมือนมี 2 ชั้น เดินเข้าไปตรงกลาง ก็มีเหมือนเป็นกระถางธูป ด้านขวาก็เป็นที่ให้เราล้างไม้ ล้างมือก่อนเข้าวัด ยืนชื่นชมความยิ่งใหญ่ของวัดด้านนอกสักพัก ถึงเข้าไปด้านใน ก็ตะลึงกับ Daibutsu พระพุทธรูปองค์ใหญ่ยักษ์มากๆๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายในมีพระพุทธรูป คือ ก่อนหน้านี้ดูเฉยๆ ว่าวัดนี้มีอะไรบ้าง ก็เลยตะลึงกับองค์ Daibutsu มาก องค์พระสีดำ ไม่แน่ใจว่าทำจากอะไร ด้านหลังองค์พระเป็นรัศมี สีทอง กลีบบัวที่องค์พระนั่งอยู่ก็มีลวดลายงดงามมากเลย ถัดจากองค์พระมาทางขวา เป็นเจ้าแม่หรืออะไรไม่รู้ องค์สีทอง เท่ากับองค์ Daibutsu เลย เดินอ้อมไปด้านหลังขององค์พระ จะมีแบบจำลองของวัดในสมัยก่อน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ยังมีพวกยักษ์ตัวใหญ่ 2 ตน รวมถึงพวกสิ่งที่ประดับต่างๆ บนหลังคาของวัด ทางด้านขวาขององค์ Daibutsu จะมีเสาอยู่เสานึง จะมีรูให้เด็กๆ มุดเข้า มุดออกกันให้สนุกสนาน ในวิหารก็จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยเช่นกัน เห็นหนังสือบอกเล่าประวัติขององค์พระ เห็นน่ารักดีเลยซื้อมา
ออกมาจากวัด Todaiji เราก็จะเดินไปยัง Nigatsudo Hall ตามที่คุณน้าแกแนะนำว่า nice view จากวัด Todaiji ก็เดินขึ้นไปไม่ไกลก็จะถึง ระหว่างทางก็จะเจอกับ Great Bell เป็นระฆังใบใหญ่ของวัด Todaiji แหละ แต่ทำไมถึงมาตั้งไกลจัง พอเดินถึง Nigatsudo Hall ก็เจอกับกลุ่มทัวร์อีกเช่นเคย เค้าก็มาดูวิวเหมือนเราแหละ ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ที่ Nigatsudo Hall นี้ก็เหมือนมีเจ้าอยู่ด้วย เห็นเค้าไหว้กันใหญ่ ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่เค้าใช้ทำพิธีทางศาสนากัน วิวจากบนนี้สวยเหมือนกัน เห็นตัวเมือง Nara แล้วก็เลยไปอีกด้านนึงของภูเขาเลย ก่อนที่จะเดินต่อ ก็ขอแวะที่นั่งพักที่เค้าจัดให้ก่อนละกัน เอาเสบียงที่ซื้อไว้ตั้งแต่เช้าออกมากิน พอเดินออกมาจาก Nigatsudo Hall เดินเลาะมาตามทางก็จะเจอกับวัด ศาล หรือบ้านเก่าๆ เรียงรายอยู่ ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน
จาก Nigatsudo Hall เราก็จะเดินต่อไปยังศาลเจ้า Kasuka Taisha กันต่อ ระหว่างทางเราจะเดินเลียบไปกับเขา Wakakusayama ซึ่งด้านนึงก็จะเป็นร้านขายของ ขนม ของที่ระลึก ส่วนอีกด้านก็จะเป็นภูเขา ซึ่งเราก็จะเจอกวางอีกเช่นเคย ยืนต้อนรับขออาหารจากนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จาก Nigatsudo Hall เดินไกลพอควรกว่าจะถึง แต่ด้วยอากาศเย็นแบบนี้ ก็ไม่ร้อน สบาย พอถึงและข้ามสะพานสีแดงไปแล้ว เราจะเห็นบรรยากาศที่จากที่โล่งๆ ต้นไม้ไม่สูงนัก เป็นบรรยากาศครึ้มๆ จากเงาต้นไม้สูง อยู่ภายหน้า ก็มีศาลเจ้าเล็กๆ ต้อนรับเราให้สักการะกันเลย ต้นไม้ตรงศาลนี้จะมีขนาดใหญ่มาก เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะถึงตัวศาลเจ้าสีแดงสดสวย ที่ศาลเจ้านี้ เราจะเห็นนักบวชผู้หญิง ที่ใส่เสื้อสีขาวและใส่กางเกงแดงกัน พยายามจะถ่ายรูปเหล่านักบวชหญิง แต่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ว่าเราจะถ่ายรูปเค้าหรือยังไง เดินกันเร็วมาก ถ่ายไม่ทันเลย ที่ศาลนี้จะมีตะเกียงอยู่โดยรอบศาล ทั้งโคมไฟที่ห้อยอยู่ รวมถึงโคมหินต่างๆ พอเราจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมด้านใน ก็จะพบกับสวนหิน และต้น Apple ขนาดใหญ่ภายใน ด้านในก็จะมีศาลต่างๆ ให้เราเคารพ สักการะ น่าเสียดายที่รูปตั้งแต่ส่วนนี้หายไปหมดเลย เศร้ามาก
พอออกจากศ่าล Kasuka Taisha เราก็สามารถเดินเข้าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติของทางศาลเจ้าได้ แต่ขี้เกียจเดินเข้าไป เห็นตรงทางเข้าก็เป็นต้นไม้ทึบๆ เลย งั้นก็เดินกลับตัวเมือง Nara กันดีกว่า จากศาล Kasuka Taisha เราก็จะเดินผ่านส่วนของ Nara Park กลับไปยังวัด Kofukiji ที่ตอนเช้าเราไปมา พอดียังเห็นว่ามีเวลาเหลือ คุณน้าตอนนั้นแนะนำไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินดูบ้านเรือนเก่าๆ ก็ให้ดูใน zone นี้ซึ่งจะอยู่ติดกับวัด Kofukiji เลย ลองเดินดีกว่า ภายในก็จะเป็นบ้านเรือนไม้รูปร่างน่ารักๆ กับถนน ซอยเล็กๆ บางบ้านก็เปิดเป็นร้านขายขนมญี่ปุ่น บางบ้านก็ขายของ บางบ้านก็เป็นบ้านที่อยู่อาศัย จริงๆ รูปในช่วงนี้ เท่าที่จำได้จะค่อนข้างให้อารมณ์ที่น่ารักๆ บ้านเล็กๆ ถนนเล็กๆ แต่ดันหายไปหมด กูละเซ็ง เดินพอแล้วถึงเวลากลับ ขากลับเราก็จะเดินกลับกันทางเดิมคือ เดินตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ Nara เพื่อเดินทางกลับ Kyoto และแล้วก็คงต้องลาแล้วกับเมือง Nara เมืองที่ชื่นชอบอีกแห่งสำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งนี้
เริ่มเดินกันเลย จากสถานี Nara เราจะเดินไปตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ ตามทางก็จะเป็นร้านขายของต่างๆ ถ้าใครยังไม่จุใจกับข้อมูลการท่องเที่ยวก็สามารถแวะ Nara City Tourist Center ซึ่งอยู่บนถนนนี้ได้ นอกจากนี้ยังมี Sega World อีกด้วย พอดีผ่านกับร้าน minimart เลยแวะซื้ออาหารเช้าซะหน่อย ก็ซื้อพวก sandwiches, ข้าวปั้นมา 2-3 ชิ้น แล้วก็ที่ชอบมาเลย คือ ซุปข้าวโพดกระป๋อง เค้าแช่ไว้ที่ตู้ร้อน อากาศตอนนั้นกำลังหนาวซื้อมาถือไว้เนี่ยเยี่ยมไปเลย จาก minimart เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้วจุดหมายแรกของเรา วัด Kofukuji ถ้าเดินตามถนน Sanjodori จะเห็นเจดีย์ของวัดนี้ก่อน ก็เลี้ยวเข้าไปเลย แอบแวะหลบ ยืนเอาของที่ซื้อมาเมื่อกี้กินซะหน่อย ซุปข้าวโพดเนี่ยอร่อยได้ใจมาก มันร้อนกำลังดี รสชาติก็อร่อย อยากให้เมืองไทยมีขายแบบนี้จัง มาพูดถึงวัดกันดีกว่าจากจุดที่ยืนกิน เราเดินมาเจอกับเจดีย์ 3 ชั้นกันก่อน เจดีย์นี้หลบอยู่ในมุมของวัด รู้สึกไม่ค่อยมีใครผ่านมาเจอ ใกล้ๆ กันก็จะมีพระพุทธรูปหินมากมายเรียงรายอยู่ เดินขึ้นมาหน่อย ก็เจอกับศาลาสีแดง คิดว่ามันคือ Tokondo Hall ให้เราสักการะขอพรกัน เดินไปหน่อย กวางๆ เจอแล้วกวางตัวแรกใน Nara แล้วก็จะเจอกับเจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเจดีย์ที่สูงอันดับ 2 ของญี่ปุ่น ถัดมาเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งเราต้องจ่ายเงินเข้าชม พอดีเห็นว่าแค่เดินเข้าไปนิดเดียว วนไปวนมา แป๊บเดียว ลุงที่เพิ่งเข้าไปก็ออกมา ก็เลยไม่จ่ายเข้าไป
จากวัด Kofukuji เราจะเดินต่อไปยังวัด Todaiji พอออกจากวัด Kofukuji ก็จะเข้าเขตของ Nara Park แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ Nara ทุกคนคงรู้ว่า มันก็คือ กวาง กวาง กวาง แล้วก็กวาง มองซ้ายก็เจอ มองขวาก็เจอ ถ้าเดินไม่ระวังก็จะเหยียบขี้กวางได้ เห็นนักท่องเที่ยวกรี๊ดกร๊าดกับกวางใหญ่ ระหว่างทางก็จะผ่านกับ Nara National Meseum มีหลายตึกมากเลย อยู่ภายในสวนเนี่ยแหละ มีรถลากรับจ้างกำลังหาลูกค้า ผ่านวัดเล็กๆ อะไรไม่รู้ เดินผ่าน Nara National Meseum แล้วก็เลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะเจอกับ Nandaimon Gate ประตูไม้ขนาดยักษ์ เสาแต่ละต้น ทำมาจากต้นไม้ทั้งต้น แล้วก็ต้นนึงก็ไม่ใช่เล็กๆ ด้วย ประตูนี้น่าจะสูงไม่ต่ำกว่าตึก 4 ชั้นนะ น่าจะสูงกว่านั้นแหละ ภายในประตูก็จะมียักษ์แกะสลัก ทำจากไม้สูงเท่ากับประตูเลย มีกลุ่มเด็กๆ มาทัศนศึกษาด้วย น่ารักดี คุณครู พยายามให้นักเรียนถ่ายรูปกับกวางใหญ่ น่ารักดี ผ่านประตูด้านขวาก็จะเป็นสระน้ำ แล้วก็เหมือนมีศาลอยู่กลางน้ำ เดินต่อไปก็จะเจอกับประตูแดงชั้นสุดท้าย ก่อนถึงตัววัด ตรงประตูนี้ก็มียักษ์อีก 2 ตน แต่เค้าไม่ให้เราเข้าผ่านประตูนี้นะ ต้องเดินอ้อมไปทางซ้าย ก็จะเจอจุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม แล้วค่อยเข้าทางนั้น
เดินเข้าไป ก็จะเห็นวิหารของวัด ขนาดใหญ่มากๆ สูงกว่าประตู Nandaimon ด้วยมั้ง ยิ่งใหญ่ดี วิหารสีแนวทึมๆ สร้างจากไม้ ข้างบนประดับด้วยช่อฟ้าสีทองอร่ามเลย วัดดูเหมือนมี 2 ชั้น เดินเข้าไปตรงกลาง ก็มีเหมือนเป็นกระถางธูป ด้านขวาก็เป็นที่ให้เราล้างไม้ ล้างมือก่อนเข้าวัด ยืนชื่นชมความยิ่งใหญ่ของวัดด้านนอกสักพัก ถึงเข้าไปด้านใน ก็ตะลึงกับ Daibutsu พระพุทธรูปองค์ใหญ่ยักษ์มากๆๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายในมีพระพุทธรูป คือ ก่อนหน้านี้ดูเฉยๆ ว่าวัดนี้มีอะไรบ้าง ก็เลยตะลึงกับองค์ Daibutsu มาก องค์พระสีดำ ไม่แน่ใจว่าทำจากอะไร ด้านหลังองค์พระเป็นรัศมี สีทอง กลีบบัวที่องค์พระนั่งอยู่ก็มีลวดลายงดงามมากเลย ถัดจากองค์พระมาทางขวา เป็นเจ้าแม่หรืออะไรไม่รู้ องค์สีทอง เท่ากับองค์ Daibutsu เลย เดินอ้อมไปด้านหลังขององค์พระ จะมีแบบจำลองของวัดในสมัยก่อน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ยังมีพวกยักษ์ตัวใหญ่ 2 ตน รวมถึงพวกสิ่งที่ประดับต่างๆ บนหลังคาของวัด ทางด้านขวาขององค์ Daibutsu จะมีเสาอยู่เสานึง จะมีรูให้เด็กๆ มุดเข้า มุดออกกันให้สนุกสนาน ในวิหารก็จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยเช่นกัน เห็นหนังสือบอกเล่าประวัติขององค์พระ เห็นน่ารักดีเลยซื้อมา
ออกมาจากวัด Todaiji เราก็จะเดินไปยัง Nigatsudo Hall ตามที่คุณน้าแกแนะนำว่า nice view จากวัด Todaiji ก็เดินขึ้นไปไม่ไกลก็จะถึง ระหว่างทางก็จะเจอกับ Great Bell เป็นระฆังใบใหญ่ของวัด Todaiji แหละ แต่ทำไมถึงมาตั้งไกลจัง พอเดินถึง Nigatsudo Hall ก็เจอกับกลุ่มทัวร์อีกเช่นเคย เค้าก็มาดูวิวเหมือนเราแหละ ส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ที่ Nigatsudo Hall นี้ก็เหมือนมีเจ้าอยู่ด้วย เห็นเค้าไหว้กันใหญ่ ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่เค้าใช้ทำพิธีทางศาสนากัน วิวจากบนนี้สวยเหมือนกัน เห็นตัวเมือง Nara แล้วก็เลยไปอีกด้านนึงของภูเขาเลย ก่อนที่จะเดินต่อ ก็ขอแวะที่นั่งพักที่เค้าจัดให้ก่อนละกัน เอาเสบียงที่ซื้อไว้ตั้งแต่เช้าออกมากิน พอเดินออกมาจาก Nigatsudo Hall เดินเลาะมาตามทางก็จะเจอกับวัด ศาล หรือบ้านเก่าๆ เรียงรายอยู่ ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน
จาก Nigatsudo Hall เราก็จะเดินต่อไปยังศาลเจ้า Kasuka Taisha กันต่อ ระหว่างทางเราจะเดินเลียบไปกับเขา Wakakusayama ซึ่งด้านนึงก็จะเป็นร้านขายของ ขนม ของที่ระลึก ส่วนอีกด้านก็จะเป็นภูเขา ซึ่งเราก็จะเจอกวางอีกเช่นเคย ยืนต้อนรับขออาหารจากนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จาก Nigatsudo Hall เดินไกลพอควรกว่าจะถึง แต่ด้วยอากาศเย็นแบบนี้ ก็ไม่ร้อน สบาย พอถึงและข้ามสะพานสีแดงไปแล้ว เราจะเห็นบรรยากาศที่จากที่โล่งๆ ต้นไม้ไม่สูงนัก เป็นบรรยากาศครึ้มๆ จากเงาต้นไม้สูง อยู่ภายหน้า ก็มีศาลเจ้าเล็กๆ ต้อนรับเราให้สักการะกันเลย ต้นไม้ตรงศาลนี้จะมีขนาดใหญ่มาก เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะถึงตัวศาลเจ้าสีแดงสดสวย ที่ศาลเจ้านี้ เราจะเห็นนักบวชผู้หญิง ที่ใส่เสื้อสีขาวและใส่กางเกงแดงกัน พยายามจะถ่ายรูปเหล่านักบวชหญิง แต่ไม่รู้ว่าเค้ารู้ว่าเราจะถ่ายรูปเค้าหรือยังไง เดินกันเร็วมาก ถ่ายไม่ทันเลย ที่ศาลนี้จะมีตะเกียงอยู่โดยรอบศาล ทั้งโคมไฟที่ห้อยอยู่ รวมถึงโคมหินต่างๆ พอเราจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชมด้านใน ก็จะพบกับสวนหิน และต้น Apple ขนาดใหญ่ภายใน ด้านในก็จะมีศาลต่างๆ ให้เราเคารพ สักการะ น่าเสียดายที่รูปตั้งแต่ส่วนนี้หายไปหมดเลย เศร้ามาก
พอออกจากศ่าล Kasuka Taisha เราก็สามารถเดินเข้าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติของทางศาลเจ้าได้ แต่ขี้เกียจเดินเข้าไป เห็นตรงทางเข้าก็เป็นต้นไม้ทึบๆ เลย งั้นก็เดินกลับตัวเมือง Nara กันดีกว่า จากศาล Kasuka Taisha เราก็จะเดินผ่านส่วนของ Nara Park กลับไปยังวัด Kofukiji ที่ตอนเช้าเราไปมา พอดียังเห็นว่ามีเวลาเหลือ คุณน้าตอนนั้นแนะนำไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินดูบ้านเรือนเก่าๆ ก็ให้ดูใน zone นี้ซึ่งจะอยู่ติดกับวัด Kofukiji เลย ลองเดินดีกว่า ภายในก็จะเป็นบ้านเรือนไม้รูปร่างน่ารักๆ กับถนน ซอยเล็กๆ บางบ้านก็เปิดเป็นร้านขายขนมญี่ปุ่น บางบ้านก็ขายของ บางบ้านก็เป็นบ้านที่อยู่อาศัย จริงๆ รูปในช่วงนี้ เท่าที่จำได้จะค่อนข้างให้อารมณ์ที่น่ารักๆ บ้านเล็กๆ ถนนเล็กๆ แต่ดันหายไปหมด กูละเซ็ง เดินพอแล้วถึงเวลากลับ ขากลับเราก็จะเดินกลับกันทางเดิมคือ เดินตามถนน Sanjodori ไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ Nara เพื่อเดินทางกลับ Kyoto และแล้วก็คงต้องลาแล้วกับเมือง Nara เมืองที่ชื่นชอบอีกแห่งสำหรับการมาญี่ปุ่นครั้งนี้
วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551
ระเบียงไม้ที่วัด Kiyomizudera
สุดท้ายแล้วสำหรับวันนี้ เราจะนั่งรถบัสไปยังวัด Kiyomizudera วัดอันมีชื่อเสียง จากระเบียงไม้ของวัดที่ตั้งอยู่ไหล่เขา จากวัด Ginkakuji ก็ง่ายมาก มาขึ้นรถบัสที่ป้ายเลยต้น Path of Philosophy มานิดหน่อย ตอนนั้น ไปถึงรถมาพอดีเลย นั่งสายเดียวก็ถึงเลย พอลงที่ป้าย ก็มีป้ายบนให้เดินเข้าซอยไป เดินไปได้สักพักใหญ่ ก็จะเป็นทางขึ้นเขา ซึ่งตลอดสองข้างทางจะมีร้านขายของที่ระลึก และขนม ของกินตลอด ซึ่งเยอะกว่าตรงวัด Ginkakuji เพราะว่า ทางมันไกลกว่า รวมระยะเวลาน่าจะเดินไม่ต่ำกว่า 20 นาทีได้ ก็จะถึงวัด ด้านหน้าจะเห็น ประตูวัดสีแดงขนาดใหญ่ แล้วมองไปด้านขวาหน่อย ก็จะเห็นเจดีย์ เดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีวิหารต่างๆ แล้วก็จ่ายค่าธรรมเนียมตามระเบียบ 300 เยน ที่วัดนี้จะเพิ่งมาเห็นสาวๆ ญี่ปุ่น(รวมถึงคนแก่ด้วย แต่ไม่ขอพูดถึง) แต่งชุดกิโมโนมาไหว้พระกันหลายคนเลย และแล้วเราก็เดินมาถึงระเบียงไม้ เลื่องชื่อ ตรงนี้วิวดีจริงๆ พอดีมีกลุ่มสาวๆ มาให้ช่วยถ่ายรูปให้หน่อย ก็เลยให้เค้าช่วยถ่ายรูปให้หน่อย ตอนแรกเค้าก็นึกว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น แต่พอเราใส่ภาษาอังกฤษใส่เค้า ก็เลยหันมาถามว่าเราเป็นคนจีนหรอ ก็บอกว่าเป็นคนไทย แล้วก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ทั้งกลุ่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม สงสัยเป็นแฟน goft-mike หรือป่าวไม่รู้ พอเห็นเป็นคนไทยเหมือนกันเลยกรี๊ดกันใหญ่ เดินออกจากระเบียงไม้ ไปทางด้านซ้าย จะเจอกับศาลเจ้า Jishu ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความรัก คู่ครอง สังเกตุได้จากจะมีผู้หญิงเยอะเป็นพิเศษ บางคนมากับเพื่อนกลุ่มผู้หญิง บางคนมากับแฟน เข้ามาในศาลก็จะเจอกับ Love Stone เค้าชื่อว่า ถ้าเราหลับตาแล้วสามารถเดินผ่านก้อนหินได้โดยไม่ชน ก็จะพบกับความรักในเร็ววัน ถ้าชนก็จะอีกนาน แต่ถ้ามีคนช่วยบอกให้เดินซ้าย เดินขวา ไรงี้ เค้าก็จะเชือว่า จะต้องมีคนมาช่วยแนะนำถึงจะพบรัก ตัวศาลก็ทางสีแดงสดเช่นเดียวกับศาลอื่นๆ ศาลนี้แม้จะไม่ใหญ่โต แต่ก็มีผู้คนมากมายเข้ามา พอออกจากศาล Jishu ก็จะเดินต่อไปยังระเบียงไม้อีกอันนึง จากระเบียงนี้ เราจะเห็นความสูงของระเบียงไม้แรก และโครงสร้างของไม้ที่นำมาสร้างค้ำระเบียงไว้ ตอนนี้เราก็จะเดินลงเขา ระหว่างทางก็จะมีเจดีย์เก่า และศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอก พอลงมาถึงข้างล่าง ก็จะเจอกับผู้คนเข้าคิวกันดื่มน้ำ ที่ไหลมาจากหลังคา 3 สาย เค้าบอกว่าน้ำนี้เป็นน้ำที่ไหลจากยอดเขามานานหลายร้อยปีแล้ว ซึ่งสายน้ำแต่ละสาย ก็จะมีความเชื่อที่ต่างกัน คือ สายแรก จะช่วยให้ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา สายที่ 2 จะเป็นความรัก และสายที่ 3 จะเป็นสุขภาพแข็งแรง จำไม่ได้เหมือนกันว่าดื่มสายไหนไป แต่น้ำไม่เย็นอย่างที่คิดเลย ทั้งๆ ที่อากาศข้างนอกหนาวแบบนั้น ส่วนขันที่เอามารองน้ำนั้น เค้าจะมีที่ใส่ให้ฆ่าเชื้อได้ก่อนจะไปรองน้ำอีกด้วย ก็หมดแล้วสำหรับวัด Kiyomizudera
ขากลับหาอะไรกินรองท้องระหว่างทางลงจากวัด Kiyomizudera ก็ลองซื้อเป็นพวกปลาที่เค้าบด มาต้มแล้วเสียบไม้ไรงี้ เค้าเรียกอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว แล้วก็ซื้อซาลาเปา แต่ซาลาเปาที่นี้ เหมือนกับเอาไปทอดแป๊บนึง แล้วค่อยมานึ่ง รสชาติก็อร่อยดี ไส้เยอะ แล้วก็แป้งเหนียวๆ แปลกดี จากตรงนี้ก็ไปขึ้นรถเพื่อกลับสถานีโตเกียว เพื่อจะไปโรงแรม chk-in ซะที หลังจากที่ตอนเช้าล้มเหลว ก็ไปรอที่ป้ายเดียวกับตอนที่ลงมาแหละ ตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้ว สังเกตุคนส่วนใหญ่ที่มารอนี่จะเป็นนักท่องเที่ยว ทั้งชาวญี่ปุ่นเอง และก็คนจีนก็เห็น รอนานมากกว่ารถจะมา พอขี้นไปก็คนเยอะมาก รู้สึกเหมือนขึ้นรถเมล์เบียดๆ ที่ไทยเลย โชคดีที่ยืนได้สักพักก็ได้ที่นั่งและป้ายที่เราจะลงก็เป็นป้ายสุดท้ายเลย นั่งนานพอควรก็ถึงสถานี Kyoto พอถึงก็ไปเอากระเป๋าที่ locker แล้วเดินไปที่ Kyoto White Hotel
พอเดินเข้าไปก็เจอกับคุณลุง แอบดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจยังไงไม่รู้ ออกมาต้อนรับ เป็นภาษาญี่ปุ่น ฟังไม่ออกเว้ย พอบอกภาษาอังกฤษไป ลุงแกก็ไม่รู้เรื่อง พูดไปพูดมา ก็เอาห้องมาดู แล้วก็ชี้ว่าจะเอาห้องนี้ เสร็จ ก็ให้เขียนชื่อ ก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษ แกก็อ่านไม่ออก อะไรเนี่ย ก็เลยอ่านให้ฟัง อ่านเป็นสำเนียงอังกฤษ ก็ยังงง ดีนะที่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่น เลยลงท้ายด้วย to ก็เลย อ่อ จ่ายเงิน 3,300 แล้วก็โอเคให้กุญแจมา ก็ถอดรองเท้าไว้ข้างหน้า แล้วก็เดินขึ้นไปที่ห้อง พอเข้าไปในห้องก็ให้กว่าตอนที่อยู่ Osaka ห้อง 4 เสื่อได้ มีฟูก มีทีวี แต่ทีวีต้องเสียเงิน ไม่มีหน้าต่าง แต่ด้านบน มีรูให้แสงให้ลมเข้า ในห้องก็มีแอร์อยู่เครื่องนึง ลองเปิดดู เอ๊ะ ทำไมมีแต่ลมเย็นออกมา ที่ remote ก็เป็นภาษาญี่ปุ่น กดเท่าไหร่ก็ยังเย็น อะไรวะ ลองไปถามลุงดีกว่า จริง ก็ไม่ค่อยอยากไปถามหรอก ดูลุงแก ไม่ค่อยต้อนรับแขกยังไงไม่รู้ ลงไปก็ไม่เจอ อะไรวะ หายอีกแล้ว เอาเหอะ เดี๋ยวออกไปกินข้าวก่อนละกัน เดินกลับไปที่สถานี Kyoto ด้านล่างของสถานี จะมีห้างอยู่ แต่ส่วนใหญ่มีแต่ร้านอาหารอย่างเดียว ก็เดินวนรอบนึง มีร้านน่าสนใจหลายร้าน เช่น ร้านข้าวห่อไข่ แต่คนเยอะอะ สุดท้ายก็เลือกร้านอุด้ง เข้าไปในร้าน ก็ถามว่าจะเอาเส้น อุด้ง หรือโซบะ จะเอาร้อน หรือเย็น ไรงี้ รสชาติก็ใช้ได้ จืดๆ เค็มๆ เส้นนี้เหนียวดี กินเสร็จ ก็เดินกลับมาที่โรงแรม ก็ยังไม่เห็นตาลุงนั้น เลยลงไปอาบน้ำ เสร็จ คืนนี้นอนอย่างนี้ก็ได้วะ ห่มผ้าหนาๆ หน่อย ก็อุ่น ไหนๆ ก็แช่น้ำร้อนมาแล้ว วันนี้นอนตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มได้ โดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ขากลับหาอะไรกินรองท้องระหว่างทางลงจากวัด Kiyomizudera ก็ลองซื้อเป็นพวกปลาที่เค้าบด มาต้มแล้วเสียบไม้ไรงี้ เค้าเรียกอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว แล้วก็ซื้อซาลาเปา แต่ซาลาเปาที่นี้ เหมือนกับเอาไปทอดแป๊บนึง แล้วค่อยมานึ่ง รสชาติก็อร่อยดี ไส้เยอะ แล้วก็แป้งเหนียวๆ แปลกดี จากตรงนี้ก็ไปขึ้นรถเพื่อกลับสถานีโตเกียว เพื่อจะไปโรงแรม chk-in ซะที หลังจากที่ตอนเช้าล้มเหลว ก็ไปรอที่ป้ายเดียวกับตอนที่ลงมาแหละ ตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้ว สังเกตุคนส่วนใหญ่ที่มารอนี่จะเป็นนักท่องเที่ยว ทั้งชาวญี่ปุ่นเอง และก็คนจีนก็เห็น รอนานมากกว่ารถจะมา พอขี้นไปก็คนเยอะมาก รู้สึกเหมือนขึ้นรถเมล์เบียดๆ ที่ไทยเลย โชคดีที่ยืนได้สักพักก็ได้ที่นั่งและป้ายที่เราจะลงก็เป็นป้ายสุดท้ายเลย นั่งนานพอควรก็ถึงสถานี Kyoto พอถึงก็ไปเอากระเป๋าที่ locker แล้วเดินไปที่ Kyoto White Hotel
พอเดินเข้าไปก็เจอกับคุณลุง แอบดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจยังไงไม่รู้ ออกมาต้อนรับ เป็นภาษาญี่ปุ่น ฟังไม่ออกเว้ย พอบอกภาษาอังกฤษไป ลุงแกก็ไม่รู้เรื่อง พูดไปพูดมา ก็เอาห้องมาดู แล้วก็ชี้ว่าจะเอาห้องนี้ เสร็จ ก็ให้เขียนชื่อ ก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษ แกก็อ่านไม่ออก อะไรเนี่ย ก็เลยอ่านให้ฟัง อ่านเป็นสำเนียงอังกฤษ ก็ยังงง ดีนะที่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่น เลยลงท้ายด้วย to ก็เลย อ่อ จ่ายเงิน 3,300 แล้วก็โอเคให้กุญแจมา ก็ถอดรองเท้าไว้ข้างหน้า แล้วก็เดินขึ้นไปที่ห้อง พอเข้าไปในห้องก็ให้กว่าตอนที่อยู่ Osaka ห้อง 4 เสื่อได้ มีฟูก มีทีวี แต่ทีวีต้องเสียเงิน ไม่มีหน้าต่าง แต่ด้านบน มีรูให้แสงให้ลมเข้า ในห้องก็มีแอร์อยู่เครื่องนึง ลองเปิดดู เอ๊ะ ทำไมมีแต่ลมเย็นออกมา ที่ remote ก็เป็นภาษาญี่ปุ่น กดเท่าไหร่ก็ยังเย็น อะไรวะ ลองไปถามลุงดีกว่า จริง ก็ไม่ค่อยอยากไปถามหรอก ดูลุงแก ไม่ค่อยต้อนรับแขกยังไงไม่รู้ ลงไปก็ไม่เจอ อะไรวะ หายอีกแล้ว เอาเหอะ เดี๋ยวออกไปกินข้าวก่อนละกัน เดินกลับไปที่สถานี Kyoto ด้านล่างของสถานี จะมีห้างอยู่ แต่ส่วนใหญ่มีแต่ร้านอาหารอย่างเดียว ก็เดินวนรอบนึง มีร้านน่าสนใจหลายร้าน เช่น ร้านข้าวห่อไข่ แต่คนเยอะอะ สุดท้ายก็เลือกร้านอุด้ง เข้าไปในร้าน ก็ถามว่าจะเอาเส้น อุด้ง หรือโซบะ จะเอาร้อน หรือเย็น ไรงี้ รสชาติก็ใช้ได้ จืดๆ เค็มๆ เส้นนี้เหนียวดี กินเสร็จ ก็เดินกลับมาที่โรงแรม ก็ยังไม่เห็นตาลุงนั้น เลยลงไปอาบน้ำ เสร็จ คืนนี้นอนอย่างนี้ก็ได้วะ ห่มผ้าหนาๆ หน่อย ก็อุ่น ไหนๆ ก็แช่น้ำร้อนมาแล้ว วันนี้นอนตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่มได้ โดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551
ปราสาท Nijo และ วัดเงิน Ginkakuji
จากป้ายรถบัสหน้าวัด Ninnaji จำไม่ได้ว่านั่งสายเดียว หรือว่าต่อ 2 สายมาลงหน้าปราสาท Nijo ลงจากรถบัส มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นแนวกำแพงยาว แม้ว่าจะไม่ใหญ่โต เท่ากับปราสาท Osaka ก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่เหมือนกัน ด้านหน้าก็จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 600 เยน เดินผ่านเข้าประตูวังชั้นแรก ด้านซ้ายก็จะเจอ Guard House ทันทีด้านใน เค้าก็จะมีตั้งตุ๊กตาไว้ ให้ดูเหมือนมียามเฝ้าปราสาทอยู่จริงๆ ด้านหน้าจะมีเต้นท์ แล้วมีพนักงานต้อนรับ อัธยาศัยดี มาต้อนรับ ก็เดินเข้าไปขอ information ของปราสาทมา เดินอ้อมมาทางด้านซ้ายหน่อย ก็จะเจอกับประตูไปยังปราสาท ซึ่งสร้างได้เหมือนกับ ประตูของพระราชวังเดิมที่วัด Ninnaji เลย ผ่านประตูเราก็จะเจอกับตัวปราสาทเลย ปราสาทนี้เค้าเรียกว่า Ninomaru Palace วังนี้ไม่เหมือนกับ ปราสาทอื่นๆ ในญี่ปุ่น ที่จะสร้างขึ้นไปสูงๆ ใหญ่โต แต่ Ninomaru Palace นี้เป็นปราสาทแค่ชั้นเดียว และมีหลายๆ ตำหนักเชื่อมต่อกัน ด้านระเบียงไม้ยาวๆ ด้านนอกจะเห็นกับไม้แกะสลักที่วิจิตรแปะอยู่บนประตูทางเข้า ด้านบน จะประดับด้วยทอง เดินเข้าไปก็ต้องถอดรองเท้าซะก่อน ที่ปราสาทมีสิ่งนึงที่พิเศษคือ ในช่วงตำหนักแรกๆ เมื่อเราเดินบนระเบียงไม้จะมีเสียง เอี๊ยดอ๊าด ดังตลอดทาง จริงๆ แล้วเค้าบอกว่าสมัยก่อน เสียงนี้จะเหมือนกับเสียงร้องของนกไนติงเกล แต่ไงตอนนี้นกคงจะแก่แล้ว เสียงเลยเพี้ยนไปแบบนี้ ในแต่ละตำหนักนั้นจะมีห้อง เปิดให้เราชม ซึ่งภายในก็จะมีหุ่น จำลองถึงกิจกรรมในห้องนั้นๆ ซึ่งแต่ละห้องจะถูกประดับด้วยภาพวาดฝาผนังที่วิจิตร สวยงามเอามากๆ เป็นภาพของเสือ ต้นสน ท้องฟ้า ภูเขา หงส์ อะไรพวกนี้ ทางสีทอง วิจิตรสวยมากๆ เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูป จึงเก็บมาได้เพียงความทรงจำประทับใจที่ยังเหลืออยู่ จริงๆ ทุกเราเค้าจะมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ เล่าเรื่องราวว่าห้องนี้เป็นห้องอะไร ทางเดินก็จะเป็นแบบ one-way เดินรอบรอบแล้วออกมาทางเข้า ภายใน เค้าจะไม่เปิดหน้าต่างเพราะว่า แสงแดด อาจจะทำให้ภาพฝาผนังมันเสื่อม หรือสีจืดไปได้ แต่ก็ไม่ได้มืดมากมายนะ ภายในปราสาท ก็มองเห็นรายละเอียดของศิลปะอันงดงามได้ เดินออกจากปราสาทออกมา เดินผ่านสวนญี่ปุ่น บ่อน้ำ ที่จัดไว้อย่างดี ที่สวนมี เอาฟางไม้มาสร้างทำเป็นต้นปาล์ม แทนต้นเดิมที่ตายไป แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของเค้าที่จะยังคงให้เรายังพอได้บรรยากาศเหมือนแต่ก่อนมากที่สุด ถัดจากสวน ก็จะเดินผ่านคลองชั้นใน เข้าสู่วังชั้นใน Honmaru Palace เดิมทีวังนี้เป็นปราสาท 5 ชั้น แต่ถูกไฟไหม้หมด เค้าเลยยก Katsura Imperial Palace มาตั้งไว้แทน ปราสาทนี้ก็เป็นปราสาทไม้ ให้อารมณ์เดียวกับ Ninomaru Palace แต่อันนี้เราเข้าไปดูข้างในไม่ได้ ก็เดินตามทางเดินในสวนชมปราสาทด้านนอก ทางเดินก็จะพาเราไปยังป้อมด้านนึง เพื่อชมวิว ที่แอบไม่มีอะไร เดินลงมาเพื่อกลับออกไปด้านหน้า ก็จะผ่านกับสวนอีกอันนึง แล้วเราก็จะเจอกับ Exhibition Hall และก็ส่วนขายของที่ระลึก ก็หมดสำหรับ ปราสาท Nijo รู้สึกประทับใจกับศิลปะ ที่สวยงามใน Ninomaru Palace มาก
จากปราสาท Nijo นั่งรถบัสที่ป้ายด้านหน้าปราสาทไปยังจุดหมายต่อไป วัด Ginkakuji เช่นเคยก็นั่งรถเมล์ไป 2 ต่อมั้ง ไปถึงก็เดินต่อ จากป้ายรถเมล์เดินเข้าไประยะนึงพอควร ก็จะเจอกับต้นทางเดินแห่งปรัชญา Path of Philosophy ชื่อไฮโซเชียว ทางเดินนี้จะเลียบคลองไปเรื่อยๆ โดยสองฝั่งคลองก็จะมีต้อนซากุระปลูกเต็มไปหมด ถ้ามาช่วงซากุระบานคงจะสวยมากๆ จากตรงนี้เดินผ่านย่านขายของ ขึ้นเขาไปเรื่อย จนสุดทาง ก็จะเจอกับวัด Ginkakuji สำหรับวัดนี้เป็นวัดที่มีวิหารสีเงิน ซึ่งคู่กับวิหารสีทองที่วัด Kinkakuji ทางเข้าวัดก็จะเป็นกำแพงต้นไม้สองข้าง สวยดี จ่ายค่าธรรมเนียม 500 เยน เข้าไปสิ่งแรกที่เจอก็คือ สวนหิน ที่ถูกครากเป็นลายคลื่นสวยงาม ประดับด้วยสนที่ตัดแต่งกิ่งอย่างดี ด้านหลังเป็นตึกญี่ปุ่น เดินผ่านกำแพงเข้าไป ก็จะเห็นเลยวิหารเงิน ของจริงมันไม่มีสีเงินเลย ตามรูปที่เคยเห็นๆ มาแหละ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีสีเงินมาตั้งแต่แรกนะ ถึงแม้ว่าเดิมทีจุดประสงค์วิหารนี้จะวิหารสีเงินที่จะสร้างมาคู่กับวิหารทอง แต่ว่าโชกุนที่อยากให้สร้างวิหารเงินนี่ ดันตายไปซะก่อน ก็เลยอดหุ้มเงิน เป็นสีไม้มาตั้งแต่ตอนนี้ จนถึงตอนนี้ แล้วดันซวย ไปถึงกำลังซ่อมอยู่ เลยเห็นโครงเหล็กเต็มไปหมด เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตัววิหารมา ถัดมานิดเดียวก็จะเป็นสวนหิน ที่จัดไว้เป็นลาย 2 สี สวยมากๆ หมดแล้วสำหรับวัดเงิน ต่อไปก็จะเป็นสวน ที่นี้จะเน้นมอสเป็นพิเศษ เค้าจะมีถาดตั้งให้ดูเลยว่า มอส ที่วัดนี้มีอะไรบ้าง แล้วมีการแบ่งเกรดเป็น มอสธรรมดา กับมอส VIP ก็คือ พวกที่หายากนี่เอง ทางเดินชมสวนนี้ก็จะเป็นทางเดินขึ้นไปบนเขา เราก็จะได้เห็นธรรมชาติ และวิว เช่นกัน พอเดินลงมาจากเขา ทางเดินก็จะพาเราวนมาชมตัววิหารใกล้ๆ อีกทีนึงเป็นการส่งท้ายก่อนที่จะกลับ
พอออกจากวัด ก็อย่าลืมแวะวัด Jodo-in ซึ่งอยู่ข้างๆ กับวัด Ginkakuji เลยคนส่วนใหญ่จะมองข้ามแล้วเดินเลยไปเลย เป็นวัดเล็กๆ พอดีเข้าไป ตัววิหารปิดแล้วเลยไม่ได้เข้าไป ข้างในก็จะมีรูปปั้นขององค์หญิงคนหนึ่ง ให้สักการะ และองค์พระพุทธรูป ขนาดเล็กมากมายเรียงอยู่ ก็ถ้ามีเวลาก็ลองแวะมาดูก็ได้ ไหนๆ ก็มาถึงนี้แล้ว
จากปราสาท Nijo นั่งรถบัสที่ป้ายด้านหน้าปราสาทไปยังจุดหมายต่อไป วัด Ginkakuji เช่นเคยก็นั่งรถเมล์ไป 2 ต่อมั้ง ไปถึงก็เดินต่อ จากป้ายรถเมล์เดินเข้าไประยะนึงพอควร ก็จะเจอกับต้นทางเดินแห่งปรัชญา Path of Philosophy ชื่อไฮโซเชียว ทางเดินนี้จะเลียบคลองไปเรื่อยๆ โดยสองฝั่งคลองก็จะมีต้อนซากุระปลูกเต็มไปหมด ถ้ามาช่วงซากุระบานคงจะสวยมากๆ จากตรงนี้เดินผ่านย่านขายของ ขึ้นเขาไปเรื่อย จนสุดทาง ก็จะเจอกับวัด Ginkakuji สำหรับวัดนี้เป็นวัดที่มีวิหารสีเงิน ซึ่งคู่กับวิหารสีทองที่วัด Kinkakuji ทางเข้าวัดก็จะเป็นกำแพงต้นไม้สองข้าง สวยดี จ่ายค่าธรรมเนียม 500 เยน เข้าไปสิ่งแรกที่เจอก็คือ สวนหิน ที่ถูกครากเป็นลายคลื่นสวยงาม ประดับด้วยสนที่ตัดแต่งกิ่งอย่างดี ด้านหลังเป็นตึกญี่ปุ่น เดินผ่านกำแพงเข้าไป ก็จะเห็นเลยวิหารเงิน ของจริงมันไม่มีสีเงินเลย ตามรูปที่เคยเห็นๆ มาแหละ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีสีเงินมาตั้งแต่แรกนะ ถึงแม้ว่าเดิมทีจุดประสงค์วิหารนี้จะวิหารสีเงินที่จะสร้างมาคู่กับวิหารทอง แต่ว่าโชกุนที่อยากให้สร้างวิหารเงินนี่ ดันตายไปซะก่อน ก็เลยอดหุ้มเงิน เป็นสีไม้มาตั้งแต่ตอนนี้ จนถึงตอนนี้ แล้วดันซวย ไปถึงกำลังซ่อมอยู่ เลยเห็นโครงเหล็กเต็มไปหมด เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตัววิหารมา ถัดมานิดเดียวก็จะเป็นสวนหิน ที่จัดไว้เป็นลาย 2 สี สวยมากๆ หมดแล้วสำหรับวัดเงิน ต่อไปก็จะเป็นสวน ที่นี้จะเน้นมอสเป็นพิเศษ เค้าจะมีถาดตั้งให้ดูเลยว่า มอส ที่วัดนี้มีอะไรบ้าง แล้วมีการแบ่งเกรดเป็น มอสธรรมดา กับมอส VIP ก็คือ พวกที่หายากนี่เอง ทางเดินชมสวนนี้ก็จะเป็นทางเดินขึ้นไปบนเขา เราก็จะได้เห็นธรรมชาติ และวิว เช่นกัน พอเดินลงมาจากเขา ทางเดินก็จะพาเราวนมาชมตัววิหารใกล้ๆ อีกทีนึงเป็นการส่งท้ายก่อนที่จะกลับ
พอออกจากวัด ก็อย่าลืมแวะวัด Jodo-in ซึ่งอยู่ข้างๆ กับวัด Ginkakuji เลยคนส่วนใหญ่จะมองข้ามแล้วเดินเลยไปเลย เป็นวัดเล็กๆ พอดีเข้าไป ตัววิหารปิดแล้วเลยไม่ได้เข้าไป ข้างในก็จะมีรูปปั้นขององค์หญิงคนหนึ่ง ให้สักการะ และองค์พระพุทธรูป ขนาดเล็กมากมายเรียงอยู่ ก็ถ้ามีเวลาก็ลองแวะมาดูก็ได้ ไหนๆ ก็มาถึงนี้แล้ว
วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551
ยามเช้า ที่ Kyoto กับวัดทอง, สวนหิน และวังโบราณ
20 กุมภา
วันนี้ตื่นไม่ค่อยเช้ามาก ประมาณ 6 โมงได้ ขึ้นรถไฟ JR Osaka Loop วนไปยังสถานี Osaka แล้วต่อรถไฟ JR ไปลงสถานี Shin-osaka เพื่อขึ้น Hikari รอบ 7:43 นั่งปุ๊บเอาของที่เหลือจากที่เมื่อคืนซื้อไว้มากิน ยังไม่ทันหายเมื่อย ก็ถึงสถานี Kyoto ตอน 8 โมงพอดี อย่างแรกที่จะทำคือ ไปโรงแรม แล้วฝากของเอาไว้ ตอนแรกหาโรงแรมที่ Kyoto เอาไว้ 5 ที่ด้วยกัน ก็มี Fujiya Ryokan, Shimizu Ryokan, Costa del sol Kyoto, K's House Kyoto, และ Kyoto White House เมื่อคืนก็ตัดสินใจแล้ว เลือกอันที่ location ดีสุด แล้วก็ถูกสุด ก็คือ Kyoto White House คืนละ 3,300 เยน ออกจากสถานี แบกกระเป๋า เดิน วน 1 รอบเพื่อหาทางไปโรงแรม ออกจากสถานี ก็เจอกับ Kyoto Tower เลย เดินไปทางขวา เลี้ยวเข้าซอย แล้วเลี้ยวซ้ายเล็กน้อยในซอย ก็เจอแล้วป้าย Kyoto White House ตอนแรก แอบมองลอบเข้าไปข้างในก่อน ไม่มีคนอยู่เลย งั้นลองเดินเข้าไปละกัน มองดูที่ counter ก็ไม่มีคน ไม่มีกระดิ่ง เอาไงดีเนี่ย เวลาก็ไม่หยุด มานั่งรอเสียเวลาตาย งั้นกลับไปสถานีฝากกระเป๋าไว้ที่ locker แล้วโทรศัพท์ไปจองแทนดีกว่า ไปถึงสถานี หยอดตู้ไป 300 เยน แล้วลองโทรศัพท์ไป แต่เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ Kyoto White Hotel ซึ่งเป็นเครือเดียวกัน แต่ไฮโซกว่าหน่อย โทรไปก็ใส่อังกฤษใหญ่ พนักงานก็อึ้งๆ เงียบๆ ไป แล้วพูดภาษาอังกฤษช้าๆ ว่า I don't understand English อ้าวซวยแล้วกูทำไงดี พนักงานก็แอบฉลาด คงจะมี pattern ถาม Name?, Today? ถาม ต่อไปเรื่อยๆ ก็โอเค จองได้ละ ไปเที่ยวดีกว่า
การเดินทางใน Kyoto ก็จะใช้รถ bus เป็นหลัก เพราะฉะนั้น ก็ซื้อตั๋ว 1 day pass สำหรับนั่งรถบัสเลย 500 เยน จากสถานี Kyoto จะไปที่ไหน อันนี้ง่ายมาก เพราะว่าเป็นท่าปล่อยรถเลยตรงนี้ อยากไปไหน ก็มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษหมด จุดหมายของเช้านี้ก็คือ วัด Kinkakuji, วัด Ryoanji และวัด Ninnaji นั่งรถไปเลย ไปถึงวัดแรกของเรา วัด Kinkakuji
วัด Kinkakuji วัดนี้เป็นที่ตั้งของวิหารสีทอง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวัดที่ชื่อดังที่สุดของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ถ้าใครเคยดูการ์ตูน อิกคิวซัง ก็คงจำกันได้กับวิหารสีทองในเรื่อง ซึ่งก็คือวิหารสีทองในวัด Kinkakuji นี้เอง ตอนขึ้นรถก็เจอกับสาว 2 คน ดูจากหน้าตา ท่าทาง การแต่งตัว น่าจะเป็นคนไทย แล้วอีกอย่างเธอขึ้นมาถึง ก็ไปนั่งที่นั่งที่เค้า reserve ให้คนพิการ คนแก่ไรงี้ ตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่รู้เรื่อง ไปถึงอ้าว พวกเธอก็ลงพร้อมกันอีก พอลงจากรถ เอ๊ะ ไปทางไหนหว่า นั้นไงป้าย เดินจนมาถึงทางเข้าวัด ตรงทางเข้า มีต้นไม้สูงใหญ่ ดูรมรื่น รู้สึกอากาศชื้นมาก มองไปที่พื้นใต้ต้นไม้ โอโห หญ้าเต็มเลย แต่เอ๊ะ นี่มันหน้าหนาวทำไมมีหญ้า เลยเดินไปดูใกล้ๆ ขอโทษ มันคือ มอส นะครับ มีแต่ที่อากาศเย็นๆ เท่านั้น ไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นตามพื้นสนามที่ไทย เดินผ่านประตูชั้นแรก สาวๆ ที่คาดว่าเป็นคนไทย ตอนนี้ก็เปิดเผยสัญชาติตัวเองแล้วว่า พวกเธอคือคนไทย ด้วยการบอกเพื่อนเธอให้ถ่ายรูปขยับซ้าย ขยับขวา ตอนนั้นขี้เกียจทำตัว friendly ไปทัก แล้วต่อไปเราก็จะไปเที่ยวกับเค้า แล้วเราจะเสีย plan ที่วางไว้ เลยเดินต่อไปก็จะเจอ จุดจ่ายค่าธรรมเนียม 600 เยน ก็ได้รับตั๋วเข้าชมวัด เป็นใบคล้ายๆ ยันต์ เดินผ่านประตูเข้าไป เลี้ยวซ้าย 1 ที เจอเลย วิหารทองคำ เหลืองอร่าม ต้องกับแสงพระอาทิตย์ เป็นภาพที่สวยงามมากเลย ตัววิหารทาสีทองทั้งหลัง ทองได้ใจจริงๆ ด้านบนก็เป็นนกฟินิกซ์สีทองยืนเด่นอยู่กลางหลังคา ที่จุดนี้ ถ่ายรูปกันใหญ่ ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนญี่ปุ่น คนเยอะเลย ถ่ายวิวพอแล้ว ขอมีรูปตัวเองกับวิหารทองหน่อย และแล้วสาวไทย ก็มาถึง เอ๊ะ ไม่เอาดีกว่า ไว้ให้เธอถ่ายรูปเสร็จ ค่อยไปขอคนอื่นดีกว่า และแล้วเธอก็ไป คุณลุงคุณป้าคนญี่ปุ่นนี่หน่า ท่าทางใจดี ขอให้เค้าถ่ายรูปให้ดีกว่า วันก่อนเรียนจาก ภูริ มาแล้ว เอาเลย Shashin o toute kudasai? อะได้ผล คุณลุงแกตอบรับอย่างดี ถ่ายเสร็จ ก็ต้องขอบคุณตามมารยาท Arigato gozaimasu เรียบร้อย หมด hi-light ของวัดก็เจอแล้ว จบ เดินอ้อมมาด้านหลังของวิหาร เดินต่อไปตามทาง ก็จะเป็นสวน น่าจะเรียกว่า ป่าก็ได้นะ เพราะ ต้นไม้ใหญ่มาก ระหว่างทางก็จะมีรูปปั้นพระ อะไรตามเรื่อง ทางเดินนี่เหมือนจะเป็นทางราดที่ค่อยๆ ขึ้นไปยังเนิน เพราะ สุดทาง เราจะเห็นหลังคาของ วิหารทอง ก่อนออกจากวัด ก็จะเจอตู้เซียมซี hi-tec มีให้เลือกทั้งภาษาอังกฤษ เกาหลี หรือจีน แค่หยอดไป 100 เยน คำทำนายก็จะออกมา หมดแล้วสำหรับวิหารทอง ทั้งวัดมีแค่วิหารจริงๆ ที่เป็นจุดขาย อย่างอื่นไม่มีเลย
วัดต่อไปที่เราจะไป ก็คือ วัด Ryoanji จากวัด Kinkakuji ก็สามารถนั่งรถบัส หรือว่าจะเดินไปก็ได้ คิดว่ารถบัสเนี่ยคงต้องรอนาน เลยตัดสินใจเดิน ถามคุณลุงยามด้านหน้าวัด Kinkakuji ว่าวัด Ryoanji ไปทางไหน คุณลุงแกก็หันมายิ้มแล้วชี้ไปทางขวาถ้าเราหันหลังให้วัด Kinkakuji ช่างใจดี friendly ดีจังประทับใจ เดินไปไม่ถึง 1 นาที หันกลับมาเห็นรถบัสมาจอด เล่นเอาเซ็ง ตอนแรกนึกว่าเดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่ผิดคาด เดินเกือบ 10 กว่านาทีได้ ถึงจะถึงวัด Ryoanji สำหรับวะด Ryoanji นี้เป็นวัดในนิกายเซน ที่มีชื่อเสียงมาจากสวนหิน ที่วัดนี้ก็พบกับกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษาเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม เราเดินเข้ามาทางด้านหลัง ก็จะผ่านกับร้านขายขนมก่อน แล้วเดินไปไม่ไกล ก็จะเจอกับ ทางเข้า จุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 500 เยนได้บัตรขนาดเท่ากับที่คั่นหนังสือ เป็นรูปสวนหินอันเลื่องชื่อของวัด Ryoanji แห่งนี้ เดินเข้าไป ยังไม่ต้องให้บัตร ทางเดินก็จะมีต้นไม้ 2 ข้างทาง และด้านซ้ายก็จะเป็นบึงขนาดใหญ่มาก มีศาลาอยู่กลางบึงด้วย เดินเข้าไปลึกพอสมควร และแล้วก็ถึงวิหาร ดูภายนอกก็เหมือนบ้านธรรมดาๆ เข้าไปก็ถอดรองเท้าวางไว้ แล้วใส่รองเท้าแตะที่เค้าเตรียมไว้ เดินเข้าไปเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอกับผู้คนนั่งชมสวนหินอย่างสงบ (มั้ง) สำหรับสวนหินนี้รู้สึกได้ถึงความตั้งใจในการทำให้หินเป็นลายได้สวยงาม เหมือนดังคลื่นทะเล เวอร์ไปไหมเนี่ย นั่งชมไปได้สักพัก สองสาวชาวไทย เจ้าเดิมแกก็มาแล้ว ถ่ายรูป ชู้นิ้ว คิขุกน่ารักกันใหญ่ ช่างเธอไป เดินออกมาดูด้านหลังดีกว่า จากสวนหิน ก็จะมีห้อง ไม่รู้ว่าเป็นห้องของใครเหมือนกัน เรายืนชมอยู่ด้านนอก ห้ามเดินเข้าไป ภายในก็วาดภาพของภูเขา และเกลียวคลื่นของเมฆสวยงามทีเดียว ออกจากตัววิหาร ก็เดินต่อออกไปชมสวนของวัด ก็เป็นสนสวยงาม ภายใต้สนก็จะเป็นมอส เดินวนมาทางบึง แล้วก็ออกยังทางเดียวกับที่เดินเข้ามา
จากวัด Ryoanji เราจะเดินกันต่อไปยังวัด Ninnaji ที่อยู่ไม่ไกลกัน วัดนี้เดิมทีเป็น พระราชวังเก่า พอดีเดินไปเข้าทางอีกด้านนึงก่อน เลยไม่ได้เข้าทางด้านหน้าวัด พอเข้ามาถึง ก็จ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้าชม 500 เยน ซึ่งมารูทีหลังว่า ค่าธรรมเนียมนี้ เฉพาะผู้ที่อยากเข้าชมส่วนที่เป็นพระราชวังเท่านั้น ถ้าใครอยากจะดูแค่วัดก็ไม่ต้องจ่าย เราไปดูกันที่บริเวณวัดก่อน เมื่อเดินไปถึง ก็จะเห็นทุ่งของต้นซากุระที่มีแต่กิ่ง เนื่องจากฤดูหนาว แต่ต้นซากุระที่นี้พิเศษกว่าที่อื่น ตรงที่เป็นพันธุ์เตี้ย เดินต่อไปก็จะเห็นเจดีย์สูง ศาลา วิหาร ต่างๆ มากมาย ให้เราไปสักการะ ตรงนี้ก็เริ่มหิวแล้ว เลยเดินกลับไปนั่งตรงศาลาที่พัก ตรงข้ามทุ่งซากุระ หยิบเอาขนม Momiji Manju ที่ซื้อจากเกาะ Miyajima ที่ Hiroshima มากิน กัดไปปุ๊บก็เจอไส้เลย รสชาติก็ใช้ได้ ไม่หวานเกินไป ถือว่าสอบผ่าน จากวัด เดินลงบันไดมาเข้าชมส่วนของพระราชวัง เข้าไปก็จะพบกับสวนหิน ที่มีต้นสนถูกดัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ในส่วนของตัวพระราชวังเอง ก็ต้องถอดรองเท้าเข้าไป ข้างในก็จะเห็นกับภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปพระโพธิสัตว์ เมื่อหันไปอีกด้าน ก็จะเจอสวนหินที่จัดไว้อย่างดี เดินต่อไป ก็จะเห็นสวนญี่ปุ่น ที่ถูกจัดไว้ล้อมรอบกับสระ โดยมีวิวด้านหลัง เป็นวัด Ninnaji จากรูปอาจจะดูไม่สวย แต่ของจริงสวยมากเลย พอออกจากวัด ก็เพิ่งมาดูประตูทางเข้าแบบใกล้ๆ เป็นประตูไม้ ที่เก่ามาก แล้วสร้างไว้ได้ใหญ่มา ประมาณตึก 4 ชั้นได้ 2 ข้างของประตูก็จะมียักษ์ยืนเฝ้าอยู่ 2 ตน ข้างหน้าวัดก็จะเป็นป้ายรถบัสพอดี งั้นรอรถบัสเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายถัดไปของเราเลยละกัน
วันนี้ตื่นไม่ค่อยเช้ามาก ประมาณ 6 โมงได้ ขึ้นรถไฟ JR Osaka Loop วนไปยังสถานี Osaka แล้วต่อรถไฟ JR ไปลงสถานี Shin-osaka เพื่อขึ้น Hikari รอบ 7:43 นั่งปุ๊บเอาของที่เหลือจากที่เมื่อคืนซื้อไว้มากิน ยังไม่ทันหายเมื่อย ก็ถึงสถานี Kyoto ตอน 8 โมงพอดี อย่างแรกที่จะทำคือ ไปโรงแรม แล้วฝากของเอาไว้ ตอนแรกหาโรงแรมที่ Kyoto เอาไว้ 5 ที่ด้วยกัน ก็มี Fujiya Ryokan, Shimizu Ryokan, Costa del sol Kyoto, K's House Kyoto, และ Kyoto White House เมื่อคืนก็ตัดสินใจแล้ว เลือกอันที่ location ดีสุด แล้วก็ถูกสุด ก็คือ Kyoto White House คืนละ 3,300 เยน ออกจากสถานี แบกกระเป๋า เดิน วน 1 รอบเพื่อหาทางไปโรงแรม ออกจากสถานี ก็เจอกับ Kyoto Tower เลย เดินไปทางขวา เลี้ยวเข้าซอย แล้วเลี้ยวซ้ายเล็กน้อยในซอย ก็เจอแล้วป้าย Kyoto White House ตอนแรก แอบมองลอบเข้าไปข้างในก่อน ไม่มีคนอยู่เลย งั้นลองเดินเข้าไปละกัน มองดูที่ counter ก็ไม่มีคน ไม่มีกระดิ่ง เอาไงดีเนี่ย เวลาก็ไม่หยุด มานั่งรอเสียเวลาตาย งั้นกลับไปสถานีฝากกระเป๋าไว้ที่ locker แล้วโทรศัพท์ไปจองแทนดีกว่า ไปถึงสถานี หยอดตู้ไป 300 เยน แล้วลองโทรศัพท์ไป แต่เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ Kyoto White Hotel ซึ่งเป็นเครือเดียวกัน แต่ไฮโซกว่าหน่อย โทรไปก็ใส่อังกฤษใหญ่ พนักงานก็อึ้งๆ เงียบๆ ไป แล้วพูดภาษาอังกฤษช้าๆ ว่า I don't understand English อ้าวซวยแล้วกูทำไงดี พนักงานก็แอบฉลาด คงจะมี pattern ถาม Name?, Today? ถาม ต่อไปเรื่อยๆ ก็โอเค จองได้ละ ไปเที่ยวดีกว่า
การเดินทางใน Kyoto ก็จะใช้รถ bus เป็นหลัก เพราะฉะนั้น ก็ซื้อตั๋ว 1 day pass สำหรับนั่งรถบัสเลย 500 เยน จากสถานี Kyoto จะไปที่ไหน อันนี้ง่ายมาก เพราะว่าเป็นท่าปล่อยรถเลยตรงนี้ อยากไปไหน ก็มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษหมด จุดหมายของเช้านี้ก็คือ วัด Kinkakuji, วัด Ryoanji และวัด Ninnaji นั่งรถไปเลย ไปถึงวัดแรกของเรา วัด Kinkakuji
วัด Kinkakuji วัดนี้เป็นที่ตั้งของวิหารสีทอง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวัดที่ชื่อดังที่สุดของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ถ้าใครเคยดูการ์ตูน อิกคิวซัง ก็คงจำกันได้กับวิหารสีทองในเรื่อง ซึ่งก็คือวิหารสีทองในวัด Kinkakuji นี้เอง ตอนขึ้นรถก็เจอกับสาว 2 คน ดูจากหน้าตา ท่าทาง การแต่งตัว น่าจะเป็นคนไทย แล้วอีกอย่างเธอขึ้นมาถึง ก็ไปนั่งที่นั่งที่เค้า reserve ให้คนพิการ คนแก่ไรงี้ ตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่รู้เรื่อง ไปถึงอ้าว พวกเธอก็ลงพร้อมกันอีก พอลงจากรถ เอ๊ะ ไปทางไหนหว่า นั้นไงป้าย เดินจนมาถึงทางเข้าวัด ตรงทางเข้า มีต้นไม้สูงใหญ่ ดูรมรื่น รู้สึกอากาศชื้นมาก มองไปที่พื้นใต้ต้นไม้ โอโห หญ้าเต็มเลย แต่เอ๊ะ นี่มันหน้าหนาวทำไมมีหญ้า เลยเดินไปดูใกล้ๆ ขอโทษ มันคือ มอส นะครับ มีแต่ที่อากาศเย็นๆ เท่านั้น ไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นตามพื้นสนามที่ไทย เดินผ่านประตูชั้นแรก สาวๆ ที่คาดว่าเป็นคนไทย ตอนนี้ก็เปิดเผยสัญชาติตัวเองแล้วว่า พวกเธอคือคนไทย ด้วยการบอกเพื่อนเธอให้ถ่ายรูปขยับซ้าย ขยับขวา ตอนนั้นขี้เกียจทำตัว friendly ไปทัก แล้วต่อไปเราก็จะไปเที่ยวกับเค้า แล้วเราจะเสีย plan ที่วางไว้ เลยเดินต่อไปก็จะเจอ จุดจ่ายค่าธรรมเนียม 600 เยน ก็ได้รับตั๋วเข้าชมวัด เป็นใบคล้ายๆ ยันต์ เดินผ่านประตูเข้าไป เลี้ยวซ้าย 1 ที เจอเลย วิหารทองคำ เหลืองอร่าม ต้องกับแสงพระอาทิตย์ เป็นภาพที่สวยงามมากเลย ตัววิหารทาสีทองทั้งหลัง ทองได้ใจจริงๆ ด้านบนก็เป็นนกฟินิกซ์สีทองยืนเด่นอยู่กลางหลังคา ที่จุดนี้ ถ่ายรูปกันใหญ่ ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนญี่ปุ่น คนเยอะเลย ถ่ายวิวพอแล้ว ขอมีรูปตัวเองกับวิหารทองหน่อย และแล้วสาวไทย ก็มาถึง เอ๊ะ ไม่เอาดีกว่า ไว้ให้เธอถ่ายรูปเสร็จ ค่อยไปขอคนอื่นดีกว่า และแล้วเธอก็ไป คุณลุงคุณป้าคนญี่ปุ่นนี่หน่า ท่าทางใจดี ขอให้เค้าถ่ายรูปให้ดีกว่า วันก่อนเรียนจาก ภูริ มาแล้ว เอาเลย Shashin o toute kudasai? อะได้ผล คุณลุงแกตอบรับอย่างดี ถ่ายเสร็จ ก็ต้องขอบคุณตามมารยาท Arigato gozaimasu เรียบร้อย หมด hi-light ของวัดก็เจอแล้ว จบ เดินอ้อมมาด้านหลังของวิหาร เดินต่อไปตามทาง ก็จะเป็นสวน น่าจะเรียกว่า ป่าก็ได้นะ เพราะ ต้นไม้ใหญ่มาก ระหว่างทางก็จะมีรูปปั้นพระ อะไรตามเรื่อง ทางเดินนี่เหมือนจะเป็นทางราดที่ค่อยๆ ขึ้นไปยังเนิน เพราะ สุดทาง เราจะเห็นหลังคาของ วิหารทอง ก่อนออกจากวัด ก็จะเจอตู้เซียมซี hi-tec มีให้เลือกทั้งภาษาอังกฤษ เกาหลี หรือจีน แค่หยอดไป 100 เยน คำทำนายก็จะออกมา หมดแล้วสำหรับวิหารทอง ทั้งวัดมีแค่วิหารจริงๆ ที่เป็นจุดขาย อย่างอื่นไม่มีเลย
วัดต่อไปที่เราจะไป ก็คือ วัด Ryoanji จากวัด Kinkakuji ก็สามารถนั่งรถบัส หรือว่าจะเดินไปก็ได้ คิดว่ารถบัสเนี่ยคงต้องรอนาน เลยตัดสินใจเดิน ถามคุณลุงยามด้านหน้าวัด Kinkakuji ว่าวัด Ryoanji ไปทางไหน คุณลุงแกก็หันมายิ้มแล้วชี้ไปทางขวาถ้าเราหันหลังให้วัด Kinkakuji ช่างใจดี friendly ดีจังประทับใจ เดินไปไม่ถึง 1 นาที หันกลับมาเห็นรถบัสมาจอด เล่นเอาเซ็ง ตอนแรกนึกว่าเดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่ผิดคาด เดินเกือบ 10 กว่านาทีได้ ถึงจะถึงวัด Ryoanji สำหรับวะด Ryoanji นี้เป็นวัดในนิกายเซน ที่มีชื่อเสียงมาจากสวนหิน ที่วัดนี้ก็พบกับกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษาเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม เราเดินเข้ามาทางด้านหลัง ก็จะผ่านกับร้านขายขนมก่อน แล้วเดินไปไม่ไกล ก็จะเจอกับ ทางเข้า จุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 500 เยนได้บัตรขนาดเท่ากับที่คั่นหนังสือ เป็นรูปสวนหินอันเลื่องชื่อของวัด Ryoanji แห่งนี้ เดินเข้าไป ยังไม่ต้องให้บัตร ทางเดินก็จะมีต้นไม้ 2 ข้างทาง และด้านซ้ายก็จะเป็นบึงขนาดใหญ่มาก มีศาลาอยู่กลางบึงด้วย เดินเข้าไปลึกพอสมควร และแล้วก็ถึงวิหาร ดูภายนอกก็เหมือนบ้านธรรมดาๆ เข้าไปก็ถอดรองเท้าวางไว้ แล้วใส่รองเท้าแตะที่เค้าเตรียมไว้ เดินเข้าไปเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอกับผู้คนนั่งชมสวนหินอย่างสงบ (มั้ง) สำหรับสวนหินนี้รู้สึกได้ถึงความตั้งใจในการทำให้หินเป็นลายได้สวยงาม เหมือนดังคลื่นทะเล เวอร์ไปไหมเนี่ย นั่งชมไปได้สักพัก สองสาวชาวไทย เจ้าเดิมแกก็มาแล้ว ถ่ายรูป ชู้นิ้ว คิขุกน่ารักกันใหญ่ ช่างเธอไป เดินออกมาดูด้านหลังดีกว่า จากสวนหิน ก็จะมีห้อง ไม่รู้ว่าเป็นห้องของใครเหมือนกัน เรายืนชมอยู่ด้านนอก ห้ามเดินเข้าไป ภายในก็วาดภาพของภูเขา และเกลียวคลื่นของเมฆสวยงามทีเดียว ออกจากตัววิหาร ก็เดินต่อออกไปชมสวนของวัด ก็เป็นสนสวยงาม ภายใต้สนก็จะเป็นมอส เดินวนมาทางบึง แล้วก็ออกยังทางเดียวกับที่เดินเข้ามา
จากวัด Ryoanji เราจะเดินกันต่อไปยังวัด Ninnaji ที่อยู่ไม่ไกลกัน วัดนี้เดิมทีเป็น พระราชวังเก่า พอดีเดินไปเข้าทางอีกด้านนึงก่อน เลยไม่ได้เข้าทางด้านหน้าวัด พอเข้ามาถึง ก็จ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้าชม 500 เยน ซึ่งมารูทีหลังว่า ค่าธรรมเนียมนี้ เฉพาะผู้ที่อยากเข้าชมส่วนที่เป็นพระราชวังเท่านั้น ถ้าใครอยากจะดูแค่วัดก็ไม่ต้องจ่าย เราไปดูกันที่บริเวณวัดก่อน เมื่อเดินไปถึง ก็จะเห็นทุ่งของต้นซากุระที่มีแต่กิ่ง เนื่องจากฤดูหนาว แต่ต้นซากุระที่นี้พิเศษกว่าที่อื่น ตรงที่เป็นพันธุ์เตี้ย เดินต่อไปก็จะเห็นเจดีย์สูง ศาลา วิหาร ต่างๆ มากมาย ให้เราไปสักการะ ตรงนี้ก็เริ่มหิวแล้ว เลยเดินกลับไปนั่งตรงศาลาที่พัก ตรงข้ามทุ่งซากุระ หยิบเอาขนม Momiji Manju ที่ซื้อจากเกาะ Miyajima ที่ Hiroshima มากิน กัดไปปุ๊บก็เจอไส้เลย รสชาติก็ใช้ได้ ไม่หวานเกินไป ถือว่าสอบผ่าน จากวัด เดินลงบันไดมาเข้าชมส่วนของพระราชวัง เข้าไปก็จะพบกับสวนหิน ที่มีต้นสนถูกดัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ในส่วนของตัวพระราชวังเอง ก็ต้องถอดรองเท้าเข้าไป ข้างในก็จะเห็นกับภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปพระโพธิสัตว์ เมื่อหันไปอีกด้าน ก็จะเจอสวนหินที่จัดไว้อย่างดี เดินต่อไป ก็จะเห็นสวนญี่ปุ่น ที่ถูกจัดไว้ล้อมรอบกับสระ โดยมีวิวด้านหลัง เป็นวัด Ninnaji จากรูปอาจจะดูไม่สวย แต่ของจริงสวยมากเลย พอออกจากวัด ก็เพิ่งมาดูประตูทางเข้าแบบใกล้ๆ เป็นประตูไม้ ที่เก่ามาก แล้วสร้างไว้ได้ใหญ่มา ประมาณตึก 4 ชั้นได้ 2 ข้างของประตูก็จะมียักษ์ยืนเฝ้าอยู่ 2 ตน ข้างหน้าวัดก็จะเป็นป้ายรถบัสพอดี งั้นรอรถบัสเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายถัดไปของเราเลยละกัน
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2551
เก็บตก Osaka
จาก Hiroshima กลับมายังสถานี Shin-osaka ใช้เวลาแค่ ชั่วโมงครึ่ง เท่านั้น ตอนนี้ก็ประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ เกือบ 4 โมง ตามแผนก็คือ จะไปวัด Shitennoji ที่เมื่อวานผิดพลาดหลงทางไป เสร็จแล้วก็จะนั่งรถไปดู Universal ไปห้าง Hep Five ไปดูตึกที่ Umeda แล้วกลับมาหาไรกินที่ Dotonburi ในเมื่อเรามีบัตร 1 day pass แล้วทุกอย่างสบาย ฟรี ตลอดทุกสาย พอมาถึง Shin-osaka ก็กะจะนั่งรถใต้ดินของ Osaka ไปลงที่วัดเลย ไม่ต้องนั่ง JR แล้วไปต่ออีกรอบ ไปถึงก็หยิบบัตร จำได้ว่าเก็บไว้ที่กระเป๋าสตางค์ ก็หา เอ๊ะ ทำไมไม่เจอ ไหนหาอีกรอบ อาจจะดูไม่ทั่ว เฮ้ยไม่เจอ ไหนลองในเป้ซิ ก็ไม่เจอ กระเป๋าเสื้อ กระเป๋า coat กระเป๋ากางเกง ก็ไม่มี เฮ้ยหายหรอวะ 850 บาทหายไปกับตา แม่ง เซ็ง หมดอารมณ์ จะเดินกลับไปขึ้น JR อีกก็ไม่เอาแล้ว เลยต้องจ่าย 230 เยนค่ารถไฟ ห่า เปลืองจริงๆ
ไปลงสถานี Shitennoji-mae Yuhigaoka พอลงเสร็จ ก็เริ่มมั่ว จะไปซ้ายหรือขวาดี จะหลงเหมือนเมื่อวานอีกป่าวหว่า แต่คิดว่า ทางนี้แหละ ใช่แน่ๆ เดินไปสักพักเจอป้าย บอกว่าทางนี้แหละ ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านถนนเล็กๆ มีร้านค้าเล็กๆ ขายของเล็กๆ น่ารักตามแบบญี่ปุ่น ระหว่างทางก็จะมีนักเรียนเดินสวนมาด้วย เพราะว่าที่ตรงวัด Shitennoji นี้ก็มีโรงเรียนอยู่ด้วย เดินไปได้สักพัก ก็มองเห็นสุสานด้านใน อีกทาง ก็เลยเลี้ยวไปดู ผ่านสุสาน เข้าไปก็จะเจอกับวิหารหลังใหญ่ๆ แต่วัดก็ปิดแล้วตามคาด 4 โมงก็ปิดแล้ววัดนี้ ไม่เป็นไรเก็บบรรยากาศข้างนอกก็ได้ สำหรับบรรยากาศ ก็ร่มรื่น เย็นสบาย ไม่มีแดดแล้ว เพราะว่าตอนเย็น เจอคนมาเดินเหมือนกันหลายคน เป็นวัดที่ใหญ่เหมือนกันนะ ขนาดไม่ได้เข้าไปด้านใน มองเห็นเจดีย์ทรงมาตรฐาน ที่เหมือนๆ กันทุกวัด ก็สวยดีนะวัดนี้ เห็น
บอกว่าถ้าได้เข้าไปจะเจอกับพวก พระพุทธรูป ทรงสวยงามมากมาย
เนื่องจากบัตร 1 day pass หายไป อารมณ์เลยเสีย เปลี่ยนแผนใหม่ทั้งหมด เราเน้นเดินดีกว่า จะได้ประหยัด หยิบแผนที่มาดู ใกล้ๆ นี้มันมีย่าน Tennoji ก็เป็นย่านที่มีแหล่งท่องเที่ยวนี่ เดินลงไปหน่อยก็เจอแล้ว ทีแล้ว งง ก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา ผ่านไปได้ครึ่งทาง ก็ระลึกได้ว่า เอ๊ะ มันต้องอีกทางนี่ เดินกลับไปใหม่ ระหว่างทางก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นน้องๆ นักเรียนมากมาย (เพื่อนร่วมเดินเฉยๆ นะ ไม่ได้ไปคุยไรกับเค้า) เดินไปเรื่อยๆ เริ่มกล้า ไปลองเดินถนนใหญ่ที่ขนานกันดีกว่า เดินไปเรื่อยๆ เอ๊ะ ข้างหน้ามันดูบรรยากาศเงียบๆ ไม่เหมือนชุมชนเลย แต่มองไปทางถนนเล็กที่เดินมาตอนแรก คนเยอะจัง งั้นกลับไปเดินถนนนั้นอีกดีกว่า เดินต่อไป เดินเลี้ยวไป เลี้ยวมา ก็เจอ Tennoji zoo ซึ่งปิดไปแล้ว ด้านหน้าของสวนสนุก มีป้ายบอกถึงสถานที่ท่องเที่ยวใน Osaka ก็หาไปหามา เจอแล้ว หอ Tsutenkaku เดินไปได้ไม่กี่นาทีเอง งันเดินตัดสวนสัตว์ไปดีกว่า คือว่า สวนสัตว์นี้ จะมี 3 ส่วน โดยมีทางเดิน ตัดอยู่ ซึ่งคนให้สวนจะเดินไปอีก zone นึงก็จะเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนไป
พอเดินจนหมดเขตสวนสัตว์ ก็จะเจอกับย่านที่ชื่อว่า Sinsekai เป็นย่านที่มีร้านอาหารไรพวกนี้อยู่ เดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงกับ Tsutenkaku Tower แล้ว หอ Tsutenkaku นี้ได้ชื่อว่าเป็น หอ Eiffel เลยนะ ลองมองที่ฐานมัน รู้สึกเหมือนจริงๆ แหะ ใกล้ๆ กันนี้ก็จะมีสวนสนุก Festival Gate ที่มีรางรถไฟเหาะ วนอยู่ทั้งตึก งั้นลองเดินไปดูละกัน ไปถึง เอ๊ะ ทำไมมันเงียบๆ มืดๆ ด้วย ไม่กล้าเดินเข้าไป ระหว่างที่รอๆ ก็มีกลุ่มนักเรียนผู้หญิง เดินเข้าไป โอเค มีคนเดินแล้ว ลองเดินไปละกัน เข้าไปถึง เฮ้ย น้ำพุ ปิด ไฟมืด มองไปข้างบน มีแต่รางในความมืด นี่มันเจ๊งแล้วหรอวะ แล้วทำไมข้อมูลท่องเที่ยวมันไม่ update เลยนะ แล้วพวกน้องๆ นักเรียนนั้น เดินไปไหนกัน ก็เลยลองเดินตาม ตึกมันก็จะไปทะลุ กับ Spa World ซึ่งเป็น Onsen กลางเมือง Osaka
ลองไปเข้าไปดูดีกว่าว่าเป็นยังไง มองๆ เค้าต้องไปซื้อตั๋วที่ตู้ ลองเดินไปดูดีกว่าว่ากี่ตังค์ ที่หน้าตู้มันก็บอกว่า 2,700 เยนวันธรรมดา 3,000 เยนวันหยุด ถ้าอยู่ค้างคืนก็ เพิ่มอีก 1,000 เยน โหแพงจัง ไปดีกว่า ก่อนออก เห็นป้าย ภาษาญี่ปุ่น แล้วมีเขียนว่า 1,000 เยน เอ๊ะ หรือว่ามันลดเหลือ 1,000 เยนเนี่ย คนเลยเยอะ ก็เลยแอบไปมองๆ เค้าว่าหยอดเงินกันกี่ตังค์ เอ๊ะ 1,000 เยนเองนี่หว่า ดีเลย งั้นลองเข้าไปดูดีกว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว หยอดเงิน เสร็จ ก็ไม่รู้เรื่อง เดินเข้าไป เห็น counter ก็ให้บัตรที่หยอดมาได้กับพนักงานไป แล้วเค้าก็ใส่ภาษาญี่ปุ่น มาเป็นชุด อึ้งละซิทีนี้ เค้าคงเห็นหน้าตา งงๆ โง่ๆ เลยถามว่า Wakarimashita? (แปลว่าเข้าใจไหม) คือฟังออกแค่นี้ ก็พยักหน้า Hai Hai ไป เค้าก็ให้ที่ผูกข้อมือมา ซึ่งอันนี้ก็เอาไว้ เวลาออกมันจะบันทึกว่า เราใช้บริการไรเพิ่มหรือป่าว ต้องเพิ่มเงินไหม ยังไม่ทันพ้น counter ดี ก็ได้ยินเสียง Sumimasen จากสาว counter ข้างๆ ก็อ้าวเรียกเราหรอ เดินไปหาเลย ก็ทำหน้าแบบ มีไรหรอ เธอก็ งง ก็ยังไม่ยอมไป ยืนอยู่ได้พัก เธอก็ทำหน้า งง ต่อ รู้สึกได้ ก็เลยหันเดินต่อไป ก้าวแรก ไปบนพื้นพรม เห็นป้ายว่าให้ถอดรองเท้าพอดี พร้อมได้ยินเสียง จาก counter ผู้ชาย ก็ถอดรองเท้า แล้วหันกลับไป เค้าก็ทำหน้าปกติ อ่อ คงจะบอกเราว่าให้ถอดรองเท้ามั้ง ก็เลยรีบถอดรองเท้าแล้วเดินต่อ ตอนนี้รู้สึกตัวเองเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงมาก เข้าไป ก็ยังคงยืนหันไปหันมา ต่อไปเราต้องทำไรหว่า เดี๋ยว รอคนถัดไปมาดีกว่า แล้วก็ตามเค้า แอบฉลาดขึ้นมาหน่อย ขั้นแรก ก็ต้องเอารองเท้าที่ถอดไปใส่ที่ locker ก่อน หยอด 100 เยน เป็น deposite ก่อน ขั้นแรกผ่านไป อ้าว คนนั้นเดิน ลิ่วๆ หายไปแล้ว ตามใครดีหว่า ไปยืนรอหน้า lift คือ งงมาก ตรงหน้า lift มันเขียนว่า Men's floor ชั้น 4 แต่พอไปดูในแผ่นป้ายข้างๆ ชั้น 4 บอกว่าเป็น Roman theme อ้าวแล้วตกลงกูต้องขึ้นไปชั้นไหนเนี่ย รอคนต่อ คราวนี้ก็ต้องรอแต่ผู้ชายละ เห็นกลุ่ม ครอบครัวนึงเดินมา โอเคตามกลุ่มนี้แหละ ขึ้น lift ปรากฏไปหยุด ชั้น 2 ออกเป็นร้านอาหาร อ้าวห่า ไปกินข้าวกันก่อนหรอ กูจะไปอาบน้ำ มากินกันทำไม เอาวะ ลองเดินทีละชั้นเลยละกัน ขึ้นต่อ ชั้น 3 อันนี้เหมือนเป็น zone spa เสียเงิน ไม่เอา ขึ้นต่อ ชั้น 4 เห็นด้านหนึ่งเขียนว่า Men Only สงสัยอันนีแหละ เข้าไปก็เป็น locker เต็มไปหมด เห็นบางคนใส่เสื้อคลุมอาบน้ำออกมา เอ๊ะ แล้วมันเอาตรงไหน มันมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ เอง ตกลงมันยังไง เดินออกมาตั้งหลักก่อน รอให้มีคนเข้าไปแล้ว เดินตามดีกว่า นั่งสักพัก เหยื่อของเรามาแล้ว ไปถึง เค้าก็จะถอดเสื้อ ถอดกางเกง ใส่ locker หยิบผ้า แล้วเดินเข้าไปเลย โอเค ตามนั้น
เข้าไปก็มีอ่างให้เลือกมากมาย หลากหลายแบบ ทั้งแบบญี่ปุ่น แบบอียิปต์ แบบโรมัน แบบ spa หรือแบบ outdoor ท่ามกลางอากาศหนาว ต่ำกว่า 10 องศา เริ่มแรกที่ zone ญี่ปุ่นก่อนดีกว่า ลงแช่แป๊บ โอ๊ย สบาย ผ่อนคลายดีจัง อีก zone ที่ชอบก็คือ zone spa กับ zone outdoor ที่ zone spa ก็จะมีบ่อแบบต่างๆ เช่นบางบ่อจะจัดแสง ให้ผ่อนคลาย บางบ่อมีผสมอะไรสักอย่างลงไป เพื่อบำรุงผิว แล้วที่เด่นสุด คือ ซาวน่าเกลือ ก็ไม่มีอะไร เข้าไปถึง เอาเกลือมาขัดๆๆ ทั่วตัว ขัดซะเพลิน ตอนออกมาแซบ แดงหมดเลย ส่วน zone outdoor นี่ออกไปเจออากาศหนาว นี่วิ่งแทบไม่ทัน รีบลงบ่อไปเลย สบายสุดยอด เพลิดเพลินกับการแช่น้ำ ผ่านไป 2 ชั่วโมงได้ ถึงเวลาจะออกละ จริงๆ อยากอยู่ต่อ แต่หิว ไม่อยากกินข้าวในนั้น ท่าจะแพง ออกมา น่าแปลกมาก ไม่รู้สึกหนาวเลย ก็เดินอยู่แถว Sinsekai ต่อเพื่อหาของกิน แต่ดูแล้วไม่ work ไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อดีกว่าวันนี้ เพิ่งรู้ว่า Spa World เนี่ยอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พักมากเลย เดินไม่เท่าไหร่ก็ถึง ระหว่างทาง เจอร้านขายร้านอาหารญี่ปุ่น แบบกลับบ้าน เลือกกิน ข้าวกับสุกียากี้เนื้อ รสชาติเหมือนที่ไทยที่เคยกินเลย แวะซื้อขนมนิดหน่อยที่ Lawson วันนี้เพราะบัตร 1 day pass เล่นเอาเซ็งไปเลย วันนี้พอแค่นี้แล้ว เตรียมตัวกับ Kyoto พรุ่งนี้ดีกว่า
ไปลงสถานี Shitennoji-mae Yuhigaoka พอลงเสร็จ ก็เริ่มมั่ว จะไปซ้ายหรือขวาดี จะหลงเหมือนเมื่อวานอีกป่าวหว่า แต่คิดว่า ทางนี้แหละ ใช่แน่ๆ เดินไปสักพักเจอป้าย บอกว่าทางนี้แหละ ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านถนนเล็กๆ มีร้านค้าเล็กๆ ขายของเล็กๆ น่ารักตามแบบญี่ปุ่น ระหว่างทางก็จะมีนักเรียนเดินสวนมาด้วย เพราะว่าที่ตรงวัด Shitennoji นี้ก็มีโรงเรียนอยู่ด้วย เดินไปได้สักพัก ก็มองเห็นสุสานด้านใน อีกทาง ก็เลยเลี้ยวไปดู ผ่านสุสาน เข้าไปก็จะเจอกับวิหารหลังใหญ่ๆ แต่วัดก็ปิดแล้วตามคาด 4 โมงก็ปิดแล้ววัดนี้ ไม่เป็นไรเก็บบรรยากาศข้างนอกก็ได้ สำหรับบรรยากาศ ก็ร่มรื่น เย็นสบาย ไม่มีแดดแล้ว เพราะว่าตอนเย็น เจอคนมาเดินเหมือนกันหลายคน เป็นวัดที่ใหญ่เหมือนกันนะ ขนาดไม่ได้เข้าไปด้านใน มองเห็นเจดีย์ทรงมาตรฐาน ที่เหมือนๆ กันทุกวัด ก็สวยดีนะวัดนี้ เห็น
บอกว่าถ้าได้เข้าไปจะเจอกับพวก พระพุทธรูป ทรงสวยงามมากมาย
เนื่องจากบัตร 1 day pass หายไป อารมณ์เลยเสีย เปลี่ยนแผนใหม่ทั้งหมด เราเน้นเดินดีกว่า จะได้ประหยัด หยิบแผนที่มาดู ใกล้ๆ นี้มันมีย่าน Tennoji ก็เป็นย่านที่มีแหล่งท่องเที่ยวนี่ เดินลงไปหน่อยก็เจอแล้ว ทีแล้ว งง ก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา ผ่านไปได้ครึ่งทาง ก็ระลึกได้ว่า เอ๊ะ มันต้องอีกทางนี่ เดินกลับไปใหม่ ระหว่างทางก็ได้เพื่อนร่วมทางเป็นน้องๆ นักเรียนมากมาย (เพื่อนร่วมเดินเฉยๆ นะ ไม่ได้ไปคุยไรกับเค้า) เดินไปเรื่อยๆ เริ่มกล้า ไปลองเดินถนนใหญ่ที่ขนานกันดีกว่า เดินไปเรื่อยๆ เอ๊ะ ข้างหน้ามันดูบรรยากาศเงียบๆ ไม่เหมือนชุมชนเลย แต่มองไปทางถนนเล็กที่เดินมาตอนแรก คนเยอะจัง งั้นกลับไปเดินถนนนั้นอีกดีกว่า เดินต่อไป เดินเลี้ยวไป เลี้ยวมา ก็เจอ Tennoji zoo ซึ่งปิดไปแล้ว ด้านหน้าของสวนสนุก มีป้ายบอกถึงสถานที่ท่องเที่ยวใน Osaka ก็หาไปหามา เจอแล้ว หอ Tsutenkaku เดินไปได้ไม่กี่นาทีเอง งันเดินตัดสวนสัตว์ไปดีกว่า คือว่า สวนสัตว์นี้ จะมี 3 ส่วน โดยมีทางเดิน ตัดอยู่ ซึ่งคนให้สวนจะเดินไปอีก zone นึงก็จะเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนไป
พอเดินจนหมดเขตสวนสัตว์ ก็จะเจอกับย่านที่ชื่อว่า Sinsekai เป็นย่านที่มีร้านอาหารไรพวกนี้อยู่ เดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงกับ Tsutenkaku Tower แล้ว หอ Tsutenkaku นี้ได้ชื่อว่าเป็น หอ Eiffel เลยนะ ลองมองที่ฐานมัน รู้สึกเหมือนจริงๆ แหะ ใกล้ๆ กันนี้ก็จะมีสวนสนุก Festival Gate ที่มีรางรถไฟเหาะ วนอยู่ทั้งตึก งั้นลองเดินไปดูละกัน ไปถึง เอ๊ะ ทำไมมันเงียบๆ มืดๆ ด้วย ไม่กล้าเดินเข้าไป ระหว่างที่รอๆ ก็มีกลุ่มนักเรียนผู้หญิง เดินเข้าไป โอเค มีคนเดินแล้ว ลองเดินไปละกัน เข้าไปถึง เฮ้ย น้ำพุ ปิด ไฟมืด มองไปข้างบน มีแต่รางในความมืด นี่มันเจ๊งแล้วหรอวะ แล้วทำไมข้อมูลท่องเที่ยวมันไม่ update เลยนะ แล้วพวกน้องๆ นักเรียนนั้น เดินไปไหนกัน ก็เลยลองเดินตาม ตึกมันก็จะไปทะลุ กับ Spa World ซึ่งเป็น Onsen กลางเมือง Osaka
ลองไปเข้าไปดูดีกว่าว่าเป็นยังไง มองๆ เค้าต้องไปซื้อตั๋วที่ตู้ ลองเดินไปดูดีกว่าว่ากี่ตังค์ ที่หน้าตู้มันก็บอกว่า 2,700 เยนวันธรรมดา 3,000 เยนวันหยุด ถ้าอยู่ค้างคืนก็ เพิ่มอีก 1,000 เยน โหแพงจัง ไปดีกว่า ก่อนออก เห็นป้าย ภาษาญี่ปุ่น แล้วมีเขียนว่า 1,000 เยน เอ๊ะ หรือว่ามันลดเหลือ 1,000 เยนเนี่ย คนเลยเยอะ ก็เลยแอบไปมองๆ เค้าว่าหยอดเงินกันกี่ตังค์ เอ๊ะ 1,000 เยนเองนี่หว่า ดีเลย งั้นลองเข้าไปดูดีกว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว หยอดเงิน เสร็จ ก็ไม่รู้เรื่อง เดินเข้าไป เห็น counter ก็ให้บัตรที่หยอดมาได้กับพนักงานไป แล้วเค้าก็ใส่ภาษาญี่ปุ่น มาเป็นชุด อึ้งละซิทีนี้ เค้าคงเห็นหน้าตา งงๆ โง่ๆ เลยถามว่า Wakarimashita? (แปลว่าเข้าใจไหม) คือฟังออกแค่นี้ ก็พยักหน้า Hai Hai ไป เค้าก็ให้ที่ผูกข้อมือมา ซึ่งอันนี้ก็เอาไว้ เวลาออกมันจะบันทึกว่า เราใช้บริการไรเพิ่มหรือป่าว ต้องเพิ่มเงินไหม ยังไม่ทันพ้น counter ดี ก็ได้ยินเสียง Sumimasen จากสาว counter ข้างๆ ก็อ้าวเรียกเราหรอ เดินไปหาเลย ก็ทำหน้าแบบ มีไรหรอ เธอก็ งง ก็ยังไม่ยอมไป ยืนอยู่ได้พัก เธอก็ทำหน้า งง ต่อ รู้สึกได้ ก็เลยหันเดินต่อไป ก้าวแรก ไปบนพื้นพรม เห็นป้ายว่าให้ถอดรองเท้าพอดี พร้อมได้ยินเสียง จาก counter ผู้ชาย ก็ถอดรองเท้า แล้วหันกลับไป เค้าก็ทำหน้าปกติ อ่อ คงจะบอกเราว่าให้ถอดรองเท้ามั้ง ก็เลยรีบถอดรองเท้าแล้วเดินต่อ ตอนนี้รู้สึกตัวเองเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงมาก เข้าไป ก็ยังคงยืนหันไปหันมา ต่อไปเราต้องทำไรหว่า เดี๋ยว รอคนถัดไปมาดีกว่า แล้วก็ตามเค้า แอบฉลาดขึ้นมาหน่อย ขั้นแรก ก็ต้องเอารองเท้าที่ถอดไปใส่ที่ locker ก่อน หยอด 100 เยน เป็น deposite ก่อน ขั้นแรกผ่านไป อ้าว คนนั้นเดิน ลิ่วๆ หายไปแล้ว ตามใครดีหว่า ไปยืนรอหน้า lift คือ งงมาก ตรงหน้า lift มันเขียนว่า Men's floor ชั้น 4 แต่พอไปดูในแผ่นป้ายข้างๆ ชั้น 4 บอกว่าเป็น Roman theme อ้าวแล้วตกลงกูต้องขึ้นไปชั้นไหนเนี่ย รอคนต่อ คราวนี้ก็ต้องรอแต่ผู้ชายละ เห็นกลุ่ม ครอบครัวนึงเดินมา โอเคตามกลุ่มนี้แหละ ขึ้น lift ปรากฏไปหยุด ชั้น 2 ออกเป็นร้านอาหาร อ้าวห่า ไปกินข้าวกันก่อนหรอ กูจะไปอาบน้ำ มากินกันทำไม เอาวะ ลองเดินทีละชั้นเลยละกัน ขึ้นต่อ ชั้น 3 อันนี้เหมือนเป็น zone spa เสียเงิน ไม่เอา ขึ้นต่อ ชั้น 4 เห็นด้านหนึ่งเขียนว่า Men Only สงสัยอันนีแหละ เข้าไปก็เป็น locker เต็มไปหมด เห็นบางคนใส่เสื้อคลุมอาบน้ำออกมา เอ๊ะ แล้วมันเอาตรงไหน มันมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ เอง ตกลงมันยังไง เดินออกมาตั้งหลักก่อน รอให้มีคนเข้าไปแล้ว เดินตามดีกว่า นั่งสักพัก เหยื่อของเรามาแล้ว ไปถึง เค้าก็จะถอดเสื้อ ถอดกางเกง ใส่ locker หยิบผ้า แล้วเดินเข้าไปเลย โอเค ตามนั้น
เข้าไปก็มีอ่างให้เลือกมากมาย หลากหลายแบบ ทั้งแบบญี่ปุ่น แบบอียิปต์ แบบโรมัน แบบ spa หรือแบบ outdoor ท่ามกลางอากาศหนาว ต่ำกว่า 10 องศา เริ่มแรกที่ zone ญี่ปุ่นก่อนดีกว่า ลงแช่แป๊บ โอ๊ย สบาย ผ่อนคลายดีจัง อีก zone ที่ชอบก็คือ zone spa กับ zone outdoor ที่ zone spa ก็จะมีบ่อแบบต่างๆ เช่นบางบ่อจะจัดแสง ให้ผ่อนคลาย บางบ่อมีผสมอะไรสักอย่างลงไป เพื่อบำรุงผิว แล้วที่เด่นสุด คือ ซาวน่าเกลือ ก็ไม่มีอะไร เข้าไปถึง เอาเกลือมาขัดๆๆ ทั่วตัว ขัดซะเพลิน ตอนออกมาแซบ แดงหมดเลย ส่วน zone outdoor นี่ออกไปเจออากาศหนาว นี่วิ่งแทบไม่ทัน รีบลงบ่อไปเลย สบายสุดยอด เพลิดเพลินกับการแช่น้ำ ผ่านไป 2 ชั่วโมงได้ ถึงเวลาจะออกละ จริงๆ อยากอยู่ต่อ แต่หิว ไม่อยากกินข้าวในนั้น ท่าจะแพง ออกมา น่าแปลกมาก ไม่รู้สึกหนาวเลย ก็เดินอยู่แถว Sinsekai ต่อเพื่อหาของกิน แต่ดูแล้วไม่ work ไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อดีกว่าวันนี้ เพิ่งรู้ว่า Spa World เนี่ยอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พักมากเลย เดินไม่เท่าไหร่ก็ถึง ระหว่างทาง เจอร้านขายร้านอาหารญี่ปุ่น แบบกลับบ้าน เลือกกิน ข้าวกับสุกียากี้เนื้อ รสชาติเหมือนที่ไทยที่เคยกินเลย แวะซื้อขนมนิดหน่อยที่ Lawson วันนี้เพราะบัตร 1 day pass เล่นเอาเซ็งไปเลย วันนี้พอแค่นี้แล้ว เตรียมตัวกับ Kyoto พรุ่งนี้ดีกว่า
วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2551
สวนสันติภาพ, Sadako และ Atomic Bomb
จากเกาะ Miyajima เราก็จะนั่งเรือ แล้วต่อรถไฟ JR กลับไปยังสถานี Hiroshima จุดหมายของเราตอนบ่ายนี้ก็คือ Peace Memorial Park หรือสวนสันติภาพ อนุสรณ์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามคู่มือบอกไว้ว่า ให้นั่ง street car สาย 2 หรือ 6 ไปได้ เดินออกจากเจอรถเมล์สาย 2 พอดี สงสัย street car มันคือ รถเมล์ของที่นี้มั้ง รีบวิ่งขึ้นไปเลย ตอนแรกก็ งงๆ ไม่แน่ใจว่าไป Memorial Park ได้หรือป่าว แต่บนรถเค้าก็พูดว่าจะไป โอเคๆ ถูกคันแล้ว นั่งไปไม่ถึงนาที เอ๊ะ มีรถรางด้วย สาย 2 อีกต่างหาก ตายห่า เข้าใจผิดอีกแล้ว street car มันคือ รถรางหรอกหรอ แล้วนี่นั่งเนี่ยจะถึงไหมนะ แต่มันก็บอกแล้วนี่ว่าไป Memorial Park มันคงไปหลอกหรอก
นั่งไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ก็ตั้งใจฟังว่า next stop คืออะไร ชมวิวเมือง Hiroshima ผ่านย่าน shopping ที่เป็นห้างๆ ด้วยความกลัวว่าจะหลงอีกไหมเนี่ย นั่งไปได้สักพัก ก็มีเสียงประกาศว่า next stop is Peace Memorial Park ถึงแล้ว ก่อนลงก็หยอดเงิน ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 100 กว่าเยนได้ ตามคู่มือบอกว่า พอลงไปปุ๊บ จะเจอกับ A-bomb Dome เป็นซากของตึกที่ยังคงหลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทำไมมีแต่ตึกสูงๆ เนี่ย เมื่อกี้ก็ฟังไม่ผิดนี่หน่า มองซ้าย มองขวา 2-3 รอบ นั้นไง ป้ายชี้บอกทางไป Peace Memorial Park เดินต่อไปอีกนิดหน่อย แล้วข้ามสะพาน ก็จะเห็น Peach Memorial Park แล้ว
ดูจากภายนอก รู้สึกว่าเป็นสวนที่ใหญ่ดี แต่รู้สึกจะแห้งแล้งยังไงไม่รู้ สงสัยเพราะว่าเป็นฤดูหนาวมั้ง ด้านหน้าจะมีตึก ซึ่งชั้น 2 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่ได้เดินขึ้นไปดู เดินผ่านตึกเข้ามา จะเห็นอนุสาวรีย์สร้างเป็นรูปอานม้า เด่นอยู่ตรงกลาง ใต้อานม้า จะมีหินรูปร่างคล้ายโลงศพ มีสลักอักษรเป็นภาษาญี่ปุ่นไว้ ถ้าเรามองลอดออกไป จะเห็นเปลวไฟอยู่ ซึ่งเปลวไฟนี้จะไม่ดับ เค้าบอกว่า เปลวไฟนี้จะดับก็ต่อเมื่อ ระเบิดปรมาณูในโลกได้หมดไปแล้ว มองเลยเปลวไฟไปอีก เราก็จะเห็น A-bomb Dome ซึ่งเราจะเดินไปนั้นเอง พอเดินเลยอนุสาวรีย์รูปอานม้ามา ก็จะเป็นฐานเปลวไฟ ที่บอกไป ข้างๆ ก็จะมีต้นไม้ ตัดแต่งเป็นรูปร่าง อ้วนๆ ไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรหรือป่าว
พอเดินเลยฐานเปลวไฟมา ก็จะเห็นอนุสารีย์ของเด็ก ซึ่งถือว่าเป็น hi-light ของสวนนี้อีกอันเหมือนกัน คิดว่าทุกคนคงจะรู้จักเรื่องของ เด็กผู้หญิง ชื่อ Sadako Sasaki ที่พับนกกระดาษ 1,000 ตัว ด้วยความหวังที่จะทำให้ ตัวเองหายปวดจากกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 หวังว่าทุกคนจะเคยได้ยินเรื่องเศร้าของเธอมาบ้าง ทุกวันนี้ก็ยังมีเด็กๆ จากที่ต่างๆ ยังพับนกมาให้เธออยู่ ซึ่งเราจะเห็นได้จากตู้ที่อยู่ด้านหลังของอนุสาวรีย์ ซึ่งใส่ นกจากเด็กๆ ที่ส่งมาให้ทางสวนอยู่มากมาย เดินไปจนสุดสวน ก็จะเจอกับ A-bomb Dome อยู่อีกฟากนึงของแม่น้ำ ระหว่างทางที่เดินไปยังสะพานเพื่อข้ามไปยัง A-bomb Dome เราจะเจอกับ Bell of Peace ซึ่งสร้างเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถณาที่จะให้ สงครามนิวเคลียสหมดไป และให้โลกอยู่กันอย่างสันติสุข ถัดจาก Bell of Peace ก็จะเจอกับ Peace Clock Tower โดยทุกๆ เช้าตอน 8:15 ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดระเบิดขึ้น นาฬิกานี้จะส่งเสียงออกมา เพื่อเป็นการอ้วนวอนถึงสันติภาพของโลก เดินต่อไปยังสะพาน Aioi ซึ่งสะพานนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จากสะพาน Aioi เดิมที่ถูกทำลายโดย ระเบิดปรมาณู ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเราก็จะถึงกับ A-bomb Dome แล้ว
ก่อนถึง A-bomb Dome เราจะพบกับอนุสาวรีย์ เล็กๆ อีก 2-3 อัน A-bomb Dome นั้นมีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Genbaku Dome เดิมนั้นที่เป็นสถานจัดแสดงสินค้าของ Hiroshima นี้ A-bomb Dome เป็นซากตึกเดียว ที่ยังหลงเหลืออยู่จากระเบิดปรมาณูครั้งนั้น ตอนนี้ก็ถูกอนุรักษ์ให้ยังคงสภาพเช่นแต่ก่อน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความหวังถึงสันติสุขของโลก ความจริง Peace Memorial Park นั้นยังมีอนุสารีย์อีกหลายอันที่สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่ายังต้องกลับไป Osaka เที่ยวต่อ ก็เลยกลับเลย
ชื่นชมกับซากตึก A-bomb Dome เรียบร้อยลองมองนาฬิกาเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงได้ รถ Hikari จะออกจาก Hiroshima งั้นลองนั่ง street car นี่แหละ ทันแน่ๆ แค่ตรงไปเรื่อยๆ ไม่เท่าไหร่ก็ถึงแล้ว เอาเข้าจริง แม่งเล่นจอดทุกป้าย แถมมันเป็นรถรางอยู่บนถนน ก็ต้องรอไฟแดงเหมือนรถปกติอีก กว่าจะถึงสถานี Hiroshima ก็เหลือเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น พอลงจากรถปุ๊บ กูก็วิ่งเลย ไม่สนใจใคร ไปถึงพอ platform ได้พอดีเป๊ะ รถ Hikari ขบวน 14:10 จอดรออยู่ รีบวิ่งเข้าไป ที่รถขบวนที่ reserve ก่อนแล้วค่อยเดินไปยังคันที่ non-reserve ในที่สุดก็หาที่นั่งได้ เกือบตาย เหนื่อยมาก นั่งหอบ ถ้าไม่ทันขบวนนี้ก็ต้องรออีก 1 ชั่วโมงเต็มๆ ตอนนี้ก็หิวแล้ว เอาข้าวหน้าปลาไหลจืดๆ ที่ซื้อมาแล้วมากินดีกว่า
นั่งไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ก็ตั้งใจฟังว่า next stop คืออะไร ชมวิวเมือง Hiroshima ผ่านย่าน shopping ที่เป็นห้างๆ ด้วยความกลัวว่าจะหลงอีกไหมเนี่ย นั่งไปได้สักพัก ก็มีเสียงประกาศว่า next stop is Peace Memorial Park ถึงแล้ว ก่อนลงก็หยอดเงิน ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 100 กว่าเยนได้ ตามคู่มือบอกว่า พอลงไปปุ๊บ จะเจอกับ A-bomb Dome เป็นซากของตึกที่ยังคงหลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทำไมมีแต่ตึกสูงๆ เนี่ย เมื่อกี้ก็ฟังไม่ผิดนี่หน่า มองซ้าย มองขวา 2-3 รอบ นั้นไง ป้ายชี้บอกทางไป Peace Memorial Park เดินต่อไปอีกนิดหน่อย แล้วข้ามสะพาน ก็จะเห็น Peach Memorial Park แล้ว
ดูจากภายนอก รู้สึกว่าเป็นสวนที่ใหญ่ดี แต่รู้สึกจะแห้งแล้งยังไงไม่รู้ สงสัยเพราะว่าเป็นฤดูหนาวมั้ง ด้านหน้าจะมีตึก ซึ่งชั้น 2 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่ได้เดินขึ้นไปดู เดินผ่านตึกเข้ามา จะเห็นอนุสาวรีย์สร้างเป็นรูปอานม้า เด่นอยู่ตรงกลาง ใต้อานม้า จะมีหินรูปร่างคล้ายโลงศพ มีสลักอักษรเป็นภาษาญี่ปุ่นไว้ ถ้าเรามองลอดออกไป จะเห็นเปลวไฟอยู่ ซึ่งเปลวไฟนี้จะไม่ดับ เค้าบอกว่า เปลวไฟนี้จะดับก็ต่อเมื่อ ระเบิดปรมาณูในโลกได้หมดไปแล้ว มองเลยเปลวไฟไปอีก เราก็จะเห็น A-bomb Dome ซึ่งเราจะเดินไปนั้นเอง พอเดินเลยอนุสาวรีย์รูปอานม้ามา ก็จะเป็นฐานเปลวไฟ ที่บอกไป ข้างๆ ก็จะมีต้นไม้ ตัดแต่งเป็นรูปร่าง อ้วนๆ ไม่รู้ว่ามีความหมายอะไรหรือป่าว
พอเดินเลยฐานเปลวไฟมา ก็จะเห็นอนุสารีย์ของเด็ก ซึ่งถือว่าเป็น hi-light ของสวนนี้อีกอันเหมือนกัน คิดว่าทุกคนคงจะรู้จักเรื่องของ เด็กผู้หญิง ชื่อ Sadako Sasaki ที่พับนกกระดาษ 1,000 ตัว ด้วยความหวังที่จะทำให้ ตัวเองหายปวดจากกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 หวังว่าทุกคนจะเคยได้ยินเรื่องเศร้าของเธอมาบ้าง ทุกวันนี้ก็ยังมีเด็กๆ จากที่ต่างๆ ยังพับนกมาให้เธออยู่ ซึ่งเราจะเห็นได้จากตู้ที่อยู่ด้านหลังของอนุสาวรีย์ ซึ่งใส่ นกจากเด็กๆ ที่ส่งมาให้ทางสวนอยู่มากมาย เดินไปจนสุดสวน ก็จะเจอกับ A-bomb Dome อยู่อีกฟากนึงของแม่น้ำ ระหว่างทางที่เดินไปยังสะพานเพื่อข้ามไปยัง A-bomb Dome เราจะเจอกับ Bell of Peace ซึ่งสร้างเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถณาที่จะให้ สงครามนิวเคลียสหมดไป และให้โลกอยู่กันอย่างสันติสุข ถัดจาก Bell of Peace ก็จะเจอกับ Peace Clock Tower โดยทุกๆ เช้าตอน 8:15 ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดระเบิดขึ้น นาฬิกานี้จะส่งเสียงออกมา เพื่อเป็นการอ้วนวอนถึงสันติภาพของโลก เดินต่อไปยังสะพาน Aioi ซึ่งสะพานนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จากสะพาน Aioi เดิมที่ถูกทำลายโดย ระเบิดปรมาณู ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเราก็จะถึงกับ A-bomb Dome แล้ว
ก่อนถึง A-bomb Dome เราจะพบกับอนุสาวรีย์ เล็กๆ อีก 2-3 อัน A-bomb Dome นั้นมีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Genbaku Dome เดิมนั้นที่เป็นสถานจัดแสดงสินค้าของ Hiroshima นี้ A-bomb Dome เป็นซากตึกเดียว ที่ยังหลงเหลืออยู่จากระเบิดปรมาณูครั้งนั้น ตอนนี้ก็ถูกอนุรักษ์ให้ยังคงสภาพเช่นแต่ก่อน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความหวังถึงสันติสุขของโลก ความจริง Peace Memorial Park นั้นยังมีอนุสารีย์อีกหลายอันที่สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ว่ายังต้องกลับไป Osaka เที่ยวต่อ ก็เลยกลับเลย
ชื่นชมกับซากตึก A-bomb Dome เรียบร้อยลองมองนาฬิกาเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงได้ รถ Hikari จะออกจาก Hiroshima งั้นลองนั่ง street car นี่แหละ ทันแน่ๆ แค่ตรงไปเรื่อยๆ ไม่เท่าไหร่ก็ถึงแล้ว เอาเข้าจริง แม่งเล่นจอดทุกป้าย แถมมันเป็นรถรางอยู่บนถนน ก็ต้องรอไฟแดงเหมือนรถปกติอีก กว่าจะถึงสถานี Hiroshima ก็เหลือเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น พอลงจากรถปุ๊บ กูก็วิ่งเลย ไม่สนใจใคร ไปถึงพอ platform ได้พอดีเป๊ะ รถ Hikari ขบวน 14:10 จอดรออยู่ รีบวิ่งเข้าไป ที่รถขบวนที่ reserve ก่อนแล้วค่อยเดินไปยังคันที่ non-reserve ในที่สุดก็หาที่นั่งได้ เกือบตาย เหนื่อยมาก นั่งหอบ ถ้าไม่ทันขบวนนี้ก็ต้องรออีก 1 ชั่วโมงเต็มๆ ตอนนี้ก็หิวแล้ว เอาข้าวหน้าปลาไหลจืดๆ ที่ซื้อมาแล้วมากินดีกว่า
วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551
เยือนเกาะศักดิ์สิทธิ์ Miyajima (2)
ออกจากศาล Itsukushima ก็จะเจอกับ Treasure Hall, Tahoto Pagoda และ วัด Daiganji ทันที บริเวณนี้เราจะสามารถสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย 1 ในนั้นก็คือ เทพเจ้าแห่งไฟ (มั้ง) ส่วนใหญ่ถ้าเป็นกรุ๊ปทัวร์ พอออกจากศาล Itsukushima ก็จะเลี้ยวออกไปเลยไม่แวะแถวนี้ ถึงแม้จะเป็นวัดเล็กๆ แต่ก็มีอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย ถ้าได้มีโอกาสก็อย่าลืมแวะด้วยละกัน
เรายังมีที่จะต้องไปอีกที่ Hiroshima เพราะฉะนั้น กลับกันละกัน ทางขากลับ จะเป็นทางเดินผ่านด้านหลังของศาล Itsukushima ที่ตรงนี้ เราจะเจอกับท่อนไม้ขนาดยักษ์ วางไว้อยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ว่าเห็นทัวร์แวะดูอยู่เหมือนกัน ระหว่างทางเราจะพบกับบ้านเรือนบนเกาะ Miyajima ที่ยังคงอนุรักษ์ให้คงสถาพแบบดั้งเดิมอยู่ บรรยากาศเงียบสงบ รู้สึกดีมากๆ เดินมาถึงทางเข้าของศาล Itsukushima เราจะเห็นศาลเจ้าม้าตั้งเด่น เป็นสีแดงอยู่ แล้วเรายังสามารถเลี้ยวขึ้นไปดู Five-storied Pagoda ได้ แต่เนื่องจากจะรีบไปเลย ขอชมจากข้างล่างละกัน
อย่างที่บอกไปตอนก่อนว่า เราสามารถเดินได้ 2 ทาง คือ ถนนเลียบทะเล กับถนนที่มีร้านขายของ ตอนขามา เราเดินถนนเลียบทะเลมาแล้ว งั้นขากลับเราเดินถนนร้านค้าก็แล้วกัน ร้านค้าแถวนี้เค้าเรียกว่า Omotesando Shopping Arcade ชื่อเหมือนที่ Hirajuku เลยแหะ อาหารที่ขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima นี้ ก็คือ Anago-meshi หรือข้าวหน้าปลาไหล, ขนม Momiji Manju ก็คือขนมรูปใบเมเปิ้ล ข้างในใส่ไส้ต่างๆ เช่น custard, ชาเขียว เป็นต้น และสุดท้ายอาหารที่ขื้นชื่อของที่นี้ก็คือ หอยนางรม ดังนั้นเมื่อมาที่เกาะ Miyajima ก็ต้องหามาชิมจริงไหม แค่เดินเข้าไปถนน ร้านแรกก็เจอเลย Momiji Manju มีหลายรสมาก ราคาไม่แพง ชิ้นละประมาณ 80 เยนเท่านั้น ลองซื้อมาชิม 3 รสก็คือ custard cream, green tea และ cheese แต่ยังไม่กินเลยนะ เก็บไว้เป็นเสบียงดีกว่า ตอนแรกไม่รู้หรอกนะว่าที่นี้มีหอยนางรมอร่อย แต่เดินไปเรื่อยๆ เห็นร้านเอาหอยนางรมมาปิ้ง หลายร้าน กลิ่นนี่เย้าให้เดินเข้าไปหามาก เลยลองซื้อมาชิมดู พอกินเข้าไปก็ สุดยอด อร่อย ตัวนี้ใหญ่มาก เนื้อมันก็กรอบ หวาน ไม่คาวเลย สดมากๆ บนถนนนี้มีโชว์ทัพพีไม้อันใหญ่มากด้วย ซึ่งพวกงานไม้นี้ก็เป็นของขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima เช่นกัน
นอกจากร้านค้าขายขนม แล้วยังมีร้านอาหารอีกด้วย ก็พยายามเดินหาร้านขายข้าวหน้าปลาไหล ที่ชื่อว่า Tanikishi ที่ตามข้อมูลที่หามาเป็นร้านชื่อดัง แต่เดิน วนไป วนมา หลายรอบ ก็ยังหาไม่เจอสักที เดินไปเดินมา ผ่านร้านขาย Okonomiyaki แบบ Hiroshima ตอนแรกมี plan ว่าจะไปกิน Okonomiyaki ที่ Okonomiyaki Mura ซึ่งเป็นตึกที่ขายเฉพาะ Okonomiyaki อยู่ในเมือง Hiroshima แต่ตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว กินที่นี้เลยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะได้ไม่เสียเวลาต้องไปหาในเมืองอีก Okonomiyaki แบบ Hiroshima นั้นก็จะแตกต่างกับ Okonomiyaki ของ Osaka ตรงที่ของ Osaka ทุกอย่างจะถูกผสมและคลุกกันในชาม แล้วค่อยนำลงไปทอดบนกระทะ แต่ของ Hiroshima นั้นเค้าจะเอาแป้งเทลงในกระทะบางๆ แล้วเอาผักทั้งกำวางลงไป แล้วก็เรียงพวกเนื้ออะไรพวกนี้ ไปเป็นชั้นๆ เราก็จะเห็นว่า Okonomiyaki ของเราเป็นชั้น สวยงาม แล้วสุดท้ายจะใส่เส้นโซบะ ซึ่งของ Osaka จะไม่มีโซบะนี้ ก็สั่งเป็น Okonomiyaki หอยนางรม ยกมาเสริฟ์ ชิ้นใหญ่มาก รสชาติก็คล้ายๆ กับของ Osaka นี้แหละ แต่มีเส้นโซบะ กินเสร็จอิ่มเลย เรายังหาร้านข้าวหน้าปลาไหลไม่ได้เลย ลองเดินวนดูอีกทีก็ไม่เจอ เอาวะ ซื้อร้านไหนก็ได้ สรุปเลยซื้อร้านอะไรไม่รู้มาร้านนึง ซื้อแบบกลับบ้าน เป็นข้าวกล่องกลับไป ซื้อเสร็จรีบวิ่งกลับไปท่าเรือ ไปถึงรถคันสุดท้ายกำลังขึ้นอยู่พอดี เลยต้องวิ่ง 4x100 พนักงานเค้าก็เห็นกำลังวิ่งมา เลยยังไม่ปล่อยให้เรือ ออก และแล้วก็ขึ้นเรือได้ทันเวลาพอดี เหนื่อยเลย ตอนนี้เราจะกลับไปยังเมือง Hiroshima เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป คงต้องลาแล้วกับเกาะ Miyajima ถ้าคราวหน้ามีโอกาสจะมาอีก เป็นเกาะที่บรรยากาศดีมากๆ
เรายังมีที่จะต้องไปอีกที่ Hiroshima เพราะฉะนั้น กลับกันละกัน ทางขากลับ จะเป็นทางเดินผ่านด้านหลังของศาล Itsukushima ที่ตรงนี้ เราจะเจอกับท่อนไม้ขนาดยักษ์ วางไว้อยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ว่าเห็นทัวร์แวะดูอยู่เหมือนกัน ระหว่างทางเราจะพบกับบ้านเรือนบนเกาะ Miyajima ที่ยังคงอนุรักษ์ให้คงสถาพแบบดั้งเดิมอยู่ บรรยากาศเงียบสงบ รู้สึกดีมากๆ เดินมาถึงทางเข้าของศาล Itsukushima เราจะเห็นศาลเจ้าม้าตั้งเด่น เป็นสีแดงอยู่ แล้วเรายังสามารถเลี้ยวขึ้นไปดู Five-storied Pagoda ได้ แต่เนื่องจากจะรีบไปเลย ขอชมจากข้างล่างละกัน
อย่างที่บอกไปตอนก่อนว่า เราสามารถเดินได้ 2 ทาง คือ ถนนเลียบทะเล กับถนนที่มีร้านขายของ ตอนขามา เราเดินถนนเลียบทะเลมาแล้ว งั้นขากลับเราเดินถนนร้านค้าก็แล้วกัน ร้านค้าแถวนี้เค้าเรียกว่า Omotesando Shopping Arcade ชื่อเหมือนที่ Hirajuku เลยแหะ อาหารที่ขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima นี้ ก็คือ Anago-meshi หรือข้าวหน้าปลาไหล, ขนม Momiji Manju ก็คือขนมรูปใบเมเปิ้ล ข้างในใส่ไส้ต่างๆ เช่น custard, ชาเขียว เป็นต้น และสุดท้ายอาหารที่ขื้นชื่อของที่นี้ก็คือ หอยนางรม ดังนั้นเมื่อมาที่เกาะ Miyajima ก็ต้องหามาชิมจริงไหม แค่เดินเข้าไปถนน ร้านแรกก็เจอเลย Momiji Manju มีหลายรสมาก ราคาไม่แพง ชิ้นละประมาณ 80 เยนเท่านั้น ลองซื้อมาชิม 3 รสก็คือ custard cream, green tea และ cheese แต่ยังไม่กินเลยนะ เก็บไว้เป็นเสบียงดีกว่า ตอนแรกไม่รู้หรอกนะว่าที่นี้มีหอยนางรมอร่อย แต่เดินไปเรื่อยๆ เห็นร้านเอาหอยนางรมมาปิ้ง หลายร้าน กลิ่นนี่เย้าให้เดินเข้าไปหามาก เลยลองซื้อมาชิมดู พอกินเข้าไปก็ สุดยอด อร่อย ตัวนี้ใหญ่มาก เนื้อมันก็กรอบ หวาน ไม่คาวเลย สดมากๆ บนถนนนี้มีโชว์ทัพพีไม้อันใหญ่มากด้วย ซึ่งพวกงานไม้นี้ก็เป็นของขึ้นชื่อของเกาะ Miyajima เช่นกัน
นอกจากร้านค้าขายขนม แล้วยังมีร้านอาหารอีกด้วย ก็พยายามเดินหาร้านขายข้าวหน้าปลาไหล ที่ชื่อว่า Tanikishi ที่ตามข้อมูลที่หามาเป็นร้านชื่อดัง แต่เดิน วนไป วนมา หลายรอบ ก็ยังหาไม่เจอสักที เดินไปเดินมา ผ่านร้านขาย Okonomiyaki แบบ Hiroshima ตอนแรกมี plan ว่าจะไปกิน Okonomiyaki ที่ Okonomiyaki Mura ซึ่งเป็นตึกที่ขายเฉพาะ Okonomiyaki อยู่ในเมือง Hiroshima แต่ตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว กินที่นี้เลยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะได้ไม่เสียเวลาต้องไปหาในเมืองอีก Okonomiyaki แบบ Hiroshima นั้นก็จะแตกต่างกับ Okonomiyaki ของ Osaka ตรงที่ของ Osaka ทุกอย่างจะถูกผสมและคลุกกันในชาม แล้วค่อยนำลงไปทอดบนกระทะ แต่ของ Hiroshima นั้นเค้าจะเอาแป้งเทลงในกระทะบางๆ แล้วเอาผักทั้งกำวางลงไป แล้วก็เรียงพวกเนื้ออะไรพวกนี้ ไปเป็นชั้นๆ เราก็จะเห็นว่า Okonomiyaki ของเราเป็นชั้น สวยงาม แล้วสุดท้ายจะใส่เส้นโซบะ ซึ่งของ Osaka จะไม่มีโซบะนี้ ก็สั่งเป็น Okonomiyaki หอยนางรม ยกมาเสริฟ์ ชิ้นใหญ่มาก รสชาติก็คล้ายๆ กับของ Osaka นี้แหละ แต่มีเส้นโซบะ กินเสร็จอิ่มเลย เรายังหาร้านข้าวหน้าปลาไหลไม่ได้เลย ลองเดินวนดูอีกทีก็ไม่เจอ เอาวะ ซื้อร้านไหนก็ได้ สรุปเลยซื้อร้านอะไรไม่รู้มาร้านนึง ซื้อแบบกลับบ้าน เป็นข้าวกล่องกลับไป ซื้อเสร็จรีบวิ่งกลับไปท่าเรือ ไปถึงรถคันสุดท้ายกำลังขึ้นอยู่พอดี เลยต้องวิ่ง 4x100 พนักงานเค้าก็เห็นกำลังวิ่งมา เลยยังไม่ปล่อยให้เรือ ออก และแล้วก็ขึ้นเรือได้ทันเวลาพอดี เหนื่อยเลย ตอนนี้เราจะกลับไปยังเมือง Hiroshima เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป คงต้องลาแล้วกับเกาะ Miyajima ถ้าคราวหน้ามีโอกาสจะมาอีก เป็นเกาะที่บรรยากาศดีมากๆ
วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551
เยือนเกาะศักดิ์สิทธิ์ Miyajima (1)
19 กุมภา
วันนี้จะไปที่ Hiroshima ตาม plan จะขึ้น Hikari รอบแรกสุด ที่สถานี Shin-Osaka ตอน 6 โมงตรง แต่แล้วนอนเพลินไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ที่ปลุกไว้ตอนตี 4 ครึ่ง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกา ตายห่า ตี 5:55 แล้ว รีบแต่งตัว ออกจากโรงแรมทันที คิดว่าวันนี้ตอนบ่ายจะกลับมาเที่ยวที่ Osaka ต่อ น่าจะต้องขึ้นรถไฟ ไปหลายที่แน่ๆ (ไม่อยากนั่ง JR Osaka Loop เพราะว่า มันไม่ได้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง) ก็เลยซื้อ 1 Day Pass ราคา 850 เยน แวะซื้ออาหารเช้ากันก่อน มื้อนี้ขออะไรเบาๆ มีผักหน่อย เพราะอยู่ญี่ปุ่น อาหารส่วนใหญ่จะมีผักน้อยมาก ก็เลยเลือกเป็น sandwiches ในที่สุดก็สามารถขึ้น Hikari ได้ตอนรอบ 6:50 ช้ากว่าที่วางแผนไว้ 50 นาที
จาก Shin-Osaka ก็ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะถึงสถานี Hiroshima ระหว่างทาง ผ่านเมือง Fukuyama มองเห็นปราสาทด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าปราสาทอะไร ดูใหญ่เหมือนกัน จุดหมายของเราสำหรับเช้านี้ ก็คือ เกาะ Miyajima ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ที่ ทุกๆ คนคงจะคุ้นกับภาพของประตูศาลเจ้าสีแดงที่อยู่กลางทะเล หรือที่เรียกว่า Otorii จากสถานี Hiroshima ก็นั่งรถไฟของ JR เจ้าเดิมนี่แหละ ไปลงที่สถานี Miyajima-guchi แล้วเดินต่อไปขึ้นเรือของ JR นี่แหละ เพื่อไปยังเกาะ Miyajima ทุกอย่างเป็นของ JR หมด เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องเสียเงินใดๆ ทั้งสิ้น จริงๆ แล้วท่าเรือมันมี 2 ท่า ก็ดูให้ดีๆ ก่อนละกันว่าท่าไหนของ JR ไม่งั้นจะเสียเงินไม่รู้ด้วย เรือที่นั่งเป็นเรือ ferry ขนาดใหญ่ ซึ่งรถสามารถขึ้นไปได้ เรือรู้สึกจะออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง นั่งอยู่ประมาณ 20 นาทีได้ ก็จะมองเห็นแล้ว Otorii ตั้งเด่นอยู่กลางทะเล
ความรู้สึกแรกที่เหยียบไปบนเกาะก็คือ รู้สึกว่า เป็นเกาะที่เงียบสงบเอามาก ยังไม่ทันที่จะออกจากท่า ก็เจอกวางแล้ว แต่กวางที่นี้ต้องระวังนิดนึง เพราะว่ามันจะกินกระดาษด้วย เพราะฉะนั้น ระวังแผ่นที่ที่ถือๆ ไว้ที่มือ ดูๆ อยู่อาจจะโดนกินโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ก่อนออกจากท่าเรือ ก็มี counter tourist information ให้เราได้หยิบแผ่นที่ และ โบรชัวร์ แนะนำเกาะกันก่อน ซึ่งในนั้นก็มีแนะนำโปรแกรมเดินท่องเที่ยวบนเกาะ Miyajima ด้วย โปรแกรมดังกล่าวก็มีให้เลือก 3 โปรแกรม นั้นคือ 3, 4 หรือ 6 ชั่วโมง บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่า เกาะ Miyajima นี้มีแต่วัด ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เลย นอกจากวัดแล้ว บนเกาะนี้ก็ยังมี Aquarium, สวนต่างๆ, ศูนย์หัตถกรรม และจุดชมวิวบนเขา ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 430 เมตร แต่จุดหมายของเราคราวนี้ ก็คือ Otorii และศาลเจ้า Itsukushima Shrine เท่านั้น เนื่องจากเวลาเราน้อย และต้องกลับไปเที่ยวต่อในเมือง Hiroshima และกลับไปเที่ยวต่อที่ Osaka แต่ใจจริง พอได้มาถึงบนเกาะ สัมผัสถึงความสงบ และบรรยากาศแล้ว อยากจะลองพักที่เกาะนี้สักคืน
จากท่าเรือ เราสามารถเดินไปศาลเจ้า Itsukushima ได้อย่างง่ายๆ โดยเดินเรียบกับชายฝั่ง รับลมทะเลมาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็คณะทัวร์ที่น่าจะกำลังจะกลับไปที่ Hiroshima สวนทางมา โดยมี guide ถือธงนำขบวนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่ ที่ท้ายขบวนอาเจ๊คนนึงก็กำลังวุ่นวายกับการให้อาหารกวาง 2 ตัวอยู่ แล้วพออาหารหมด เจ้ากวางก็ยังไม่อิ่ม เดินตามแล้วไปกัดเอากระดาษอะไรสักอย่างที่กระเป๋าของเจ๊แก เจ๊แกก็ตกใจ รีบวิ่งหนีใหญ่ เป็นภาพที่ชวนขำขันยามเช้าจริงๆ เดินไปสักพักก็เจอกับกวาง 2 ตัวยืนนิ่ง โพสท่า ให้ถ่ายรูป อย่างกับเป็นหุ่นยนต์ซะอย่างนั้น เดินไม่ถึง 10 นาทีก็จะถึง เสาโทริ หรือประตูวัดที่ทำด้วยหิน ขนาดใหญ่ แต่ถ้าใครชอบที่จะเดินดูของ ก็สามารถเลือกทางที่ขนานกันได้อีกทาง ก็จะมาบรรจบกันที่ เสาโทริหินนี้เช่นกัน
จากเสาโทริหิน เดินเข้ามานิดหน่อย ก็จะเจอกับจุดถ่ายรูป ชมวิว กับ Otorii แล้ว สวยงามจริงๆ เสาแต่ละเสาเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มาก ขอเน้นว่าใหญ่มาก ทั้งต้น คาดว่าตัวต้นไม้ที่มาทำเสานี้ คงมีอายุหลายร้อยปี ตัวเสาทาสีแดงสด ตัดกับสีเขียวน้ำทะเล และสีฟ้าของท้องฟ้า สวยมากเลย ลองมองไปที่น้ำทะเล ก็ใสมากๆ สามารถมองเห็นทรายได้เลย แต่ตอนนี้ต้องรีบชมบรรยากาศอย่างเร็วหน่อย เพราะข้างๆ กลุ่มทัวร์กำลังจัดกลุ่มถ่ายรูปหมู่กันอยู่ เรารีบๆ ถ่ายรูป แล้วรีบๆ ไปวัดก่อนกลุ่มทัวร์นี้ดีกว่า
ค่าธรรมเนียมเข้าชมวัดก็ 300 เยน ศาลเจ้า Itsukushima นั้นสร้างอยู่ริมชายฝั่ง แล้วยื่นออกไปยังทะเล ตัววัดทาด้วยสีแดง เช่นเดียวกับ Otorii ภายในก็เป็นทางเดินไม้ ระหว่างทางก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เราสักการะเป็นระยะๆ ที่ศาลนี้เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเกาะ Miyajima เพราะฉะนั้น จะมีกลุ่มทัวร์เยอะมาก เวลาถ่ายรูปก็ต้องหาจังหวะดีๆ ซะหน่อย จากศาลนี้เราก็สามารถมองเห็น Otorii ทางด้านหน้า และเห็น Five-storied Pagoda ด้านหลังด้วย ส่วนกลาง วิหารหลักของศาลก็จะหันหน้าออกไปเจอกับ Otorii พอดี ถ้าใครยังไม่รู้ Otorii นี้ก็คือประตูของศาล Itsukushima นั้นเอง เดินไปเกือบจะสุดทาง ก็จะเห็นสะพานไม้โบราณ ซึ่ง slope ชันมากๆ ไม่รู้ว่าทำไมต้องสร้างชันขนาดนั้น แค่เห็นก็ไม่อยากจะเดินข้ามแล้ว และก็จะเห็นส่วนของศาลที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ไม่ทาสีใหม่ ส่วนภายในก็จะมีภาพวาดเป็นรูปต้นสนอยู่ หมดแล้วสำหรับศาล Itsukushima เค้าให้เราเดินเป็นทาง one way ห้ามสวนกลับออกไป พอออกมาก็จะเจอกับอีกวัดนึงทันที
วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนนะ เพราะยังเหลืออีกเยอะเลย สำหรับเกาะ Miyajima ไว้พรุ่งนี้ค่อยเขียนต่อ
วันนี้จะไปที่ Hiroshima ตาม plan จะขึ้น Hikari รอบแรกสุด ที่สถานี Shin-Osaka ตอน 6 โมงตรง แต่แล้วนอนเพลินไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ที่ปลุกไว้ตอนตี 4 ครึ่ง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกา ตายห่า ตี 5:55 แล้ว รีบแต่งตัว ออกจากโรงแรมทันที คิดว่าวันนี้ตอนบ่ายจะกลับมาเที่ยวที่ Osaka ต่อ น่าจะต้องขึ้นรถไฟ ไปหลายที่แน่ๆ (ไม่อยากนั่ง JR Osaka Loop เพราะว่า มันไม่ได้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง) ก็เลยซื้อ 1 Day Pass ราคา 850 เยน แวะซื้ออาหารเช้ากันก่อน มื้อนี้ขออะไรเบาๆ มีผักหน่อย เพราะอยู่ญี่ปุ่น อาหารส่วนใหญ่จะมีผักน้อยมาก ก็เลยเลือกเป็น sandwiches ในที่สุดก็สามารถขึ้น Hikari ได้ตอนรอบ 6:50 ช้ากว่าที่วางแผนไว้ 50 นาที
จาก Shin-Osaka ก็ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะถึงสถานี Hiroshima ระหว่างทาง ผ่านเมือง Fukuyama มองเห็นปราสาทด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าปราสาทอะไร ดูใหญ่เหมือนกัน จุดหมายของเราสำหรับเช้านี้ ก็คือ เกาะ Miyajima ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ที่ ทุกๆ คนคงจะคุ้นกับภาพของประตูศาลเจ้าสีแดงที่อยู่กลางทะเล หรือที่เรียกว่า Otorii จากสถานี Hiroshima ก็นั่งรถไฟของ JR เจ้าเดิมนี่แหละ ไปลงที่สถานี Miyajima-guchi แล้วเดินต่อไปขึ้นเรือของ JR นี่แหละ เพื่อไปยังเกาะ Miyajima ทุกอย่างเป็นของ JR หมด เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องเสียเงินใดๆ ทั้งสิ้น จริงๆ แล้วท่าเรือมันมี 2 ท่า ก็ดูให้ดีๆ ก่อนละกันว่าท่าไหนของ JR ไม่งั้นจะเสียเงินไม่รู้ด้วย เรือที่นั่งเป็นเรือ ferry ขนาดใหญ่ ซึ่งรถสามารถขึ้นไปได้ เรือรู้สึกจะออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง นั่งอยู่ประมาณ 20 นาทีได้ ก็จะมองเห็นแล้ว Otorii ตั้งเด่นอยู่กลางทะเล
ความรู้สึกแรกที่เหยียบไปบนเกาะก็คือ รู้สึกว่า เป็นเกาะที่เงียบสงบเอามาก ยังไม่ทันที่จะออกจากท่า ก็เจอกวางแล้ว แต่กวางที่นี้ต้องระวังนิดนึง เพราะว่ามันจะกินกระดาษด้วย เพราะฉะนั้น ระวังแผ่นที่ที่ถือๆ ไว้ที่มือ ดูๆ อยู่อาจจะโดนกินโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ก่อนออกจากท่าเรือ ก็มี counter tourist information ให้เราได้หยิบแผ่นที่ และ โบรชัวร์ แนะนำเกาะกันก่อน ซึ่งในนั้นก็มีแนะนำโปรแกรมเดินท่องเที่ยวบนเกาะ Miyajima ด้วย โปรแกรมดังกล่าวก็มีให้เลือก 3 โปรแกรม นั้นคือ 3, 4 หรือ 6 ชั่วโมง บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่า เกาะ Miyajima นี้มีแต่วัด ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เลย นอกจากวัดแล้ว บนเกาะนี้ก็ยังมี Aquarium, สวนต่างๆ, ศูนย์หัตถกรรม และจุดชมวิวบนเขา ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 430 เมตร แต่จุดหมายของเราคราวนี้ ก็คือ Otorii และศาลเจ้า Itsukushima Shrine เท่านั้น เนื่องจากเวลาเราน้อย และต้องกลับไปเที่ยวต่อในเมือง Hiroshima และกลับไปเที่ยวต่อที่ Osaka แต่ใจจริง พอได้มาถึงบนเกาะ สัมผัสถึงความสงบ และบรรยากาศแล้ว อยากจะลองพักที่เกาะนี้สักคืน
จากท่าเรือ เราสามารถเดินไปศาลเจ้า Itsukushima ได้อย่างง่ายๆ โดยเดินเรียบกับชายฝั่ง รับลมทะเลมาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็คณะทัวร์ที่น่าจะกำลังจะกลับไปที่ Hiroshima สวนทางมา โดยมี guide ถือธงนำขบวนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันใหญ่ ที่ท้ายขบวนอาเจ๊คนนึงก็กำลังวุ่นวายกับการให้อาหารกวาง 2 ตัวอยู่ แล้วพออาหารหมด เจ้ากวางก็ยังไม่อิ่ม เดินตามแล้วไปกัดเอากระดาษอะไรสักอย่างที่กระเป๋าของเจ๊แก เจ๊แกก็ตกใจ รีบวิ่งหนีใหญ่ เป็นภาพที่ชวนขำขันยามเช้าจริงๆ เดินไปสักพักก็เจอกับกวาง 2 ตัวยืนนิ่ง โพสท่า ให้ถ่ายรูป อย่างกับเป็นหุ่นยนต์ซะอย่างนั้น เดินไม่ถึง 10 นาทีก็จะถึง เสาโทริ หรือประตูวัดที่ทำด้วยหิน ขนาดใหญ่ แต่ถ้าใครชอบที่จะเดินดูของ ก็สามารถเลือกทางที่ขนานกันได้อีกทาง ก็จะมาบรรจบกันที่ เสาโทริหินนี้เช่นกัน
จากเสาโทริหิน เดินเข้ามานิดหน่อย ก็จะเจอกับจุดถ่ายรูป ชมวิว กับ Otorii แล้ว สวยงามจริงๆ เสาแต่ละเสาเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มาก ขอเน้นว่าใหญ่มาก ทั้งต้น คาดว่าตัวต้นไม้ที่มาทำเสานี้ คงมีอายุหลายร้อยปี ตัวเสาทาสีแดงสด ตัดกับสีเขียวน้ำทะเล และสีฟ้าของท้องฟ้า สวยมากเลย ลองมองไปที่น้ำทะเล ก็ใสมากๆ สามารถมองเห็นทรายได้เลย แต่ตอนนี้ต้องรีบชมบรรยากาศอย่างเร็วหน่อย เพราะข้างๆ กลุ่มทัวร์กำลังจัดกลุ่มถ่ายรูปหมู่กันอยู่ เรารีบๆ ถ่ายรูป แล้วรีบๆ ไปวัดก่อนกลุ่มทัวร์นี้ดีกว่า
ค่าธรรมเนียมเข้าชมวัดก็ 300 เยน ศาลเจ้า Itsukushima นั้นสร้างอยู่ริมชายฝั่ง แล้วยื่นออกไปยังทะเล ตัววัดทาด้วยสีแดง เช่นเดียวกับ Otorii ภายในก็เป็นทางเดินไม้ ระหว่างทางก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เราสักการะเป็นระยะๆ ที่ศาลนี้เป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเกาะ Miyajima เพราะฉะนั้น จะมีกลุ่มทัวร์เยอะมาก เวลาถ่ายรูปก็ต้องหาจังหวะดีๆ ซะหน่อย จากศาลนี้เราก็สามารถมองเห็น Otorii ทางด้านหน้า และเห็น Five-storied Pagoda ด้านหลังด้วย ส่วนกลาง วิหารหลักของศาลก็จะหันหน้าออกไปเจอกับ Otorii พอดี ถ้าใครยังไม่รู้ Otorii นี้ก็คือประตูของศาล Itsukushima นั้นเอง เดินไปเกือบจะสุดทาง ก็จะเห็นสะพานไม้โบราณ ซึ่ง slope ชันมากๆ ไม่รู้ว่าทำไมต้องสร้างชันขนาดนั้น แค่เห็นก็ไม่อยากจะเดินข้ามแล้ว และก็จะเห็นส่วนของศาลที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ไม่ทาสีใหม่ ส่วนภายในก็จะมีภาพวาดเป็นรูปต้นสนอยู่ หมดแล้วสำหรับศาล Itsukushima เค้าให้เราเดินเป็นทาง one way ห้ามสวนกลับออกไป พอออกมาก็จะเจอกับอีกวัดนึงทันที
วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนนะ เพราะยังเหลืออีกเยอะเลย สำหรับเกาะ Miyajima ไว้พรุ่งนี้ค่อยเขียนต่อ
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551
Namba แสงสีแห่ง Osaka
ตอนนี้ก็เย็นแล้ว ถึงเวลาไปหาไรกินอาหารเย็นดีกว่า จากสถานี Morinomiya นั่งรถไปลงสถานี Namba ย่าน shopping กินข้าว แต่จุดหมายของเราที่จะไปก็คือ Dotonbori พอลงไปก็ งง อีกแล้ว เดินไม่ค่อยถูก ก็เดินๆ ก็เป็นตึกๆ เอ๊ะ ไม่เห็นมีร้านอาหาร อะไรแบบในรูปเลย อยู่ไหนหว่า หยิบแผ่นที่มาดู ก็อ้าว นี่เดินวนไปอีกทางหรอเนี่ย เดินวนกลับมา เลี้ยวไปอีกที นั่นไง แสงไฟ นั่นไงป้ายปูอลาสก้า ในที่สุดก็ถึงแล้ว Dotonbori
ขาปูอลาสก้าย่าง ส่งกลิ่นหอมฉุย มาแต่ไกล ร้านค้าแถวนั้น แต่งป้ายกันแบบไม่ยอมแพ้กันเลย บางร้าน เน้นความใหญ่ ป้ายใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี บางร้าน เน้นไฟ ก็มีไฟวิ่งไปวิ่งมา สว่างไสว บางร้าน เน้นโลโก้ ตุ๊กตา มีหุ่นขยับไปขยับมา เช่น ยักษ์ ปลาปักเป้า มังกร ตัวคานุกิ เป็นต้น เดินชมก่อนก็แล้วกัน ว่ามีไรบ้างที่ถนนนี้ ตลอดทางก็จะเป็นร้านขายอาหาร ซึ่งอาหารที่ขาดไม่ได้สำหรับ Osaka นั้นก็คือ Takoyaki และ Okonomiyaki ตลอดทางมีไม่ต่ำกว่า 10 ร้านได้ บางร้านก็ hot hit มีคนต่อคิวยาว บางร้านก็เงียบเหงาหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีคน ทุกร้านค่อนข้างคึกคักกันหมด ร้านที่น่าสนใจก็จะมี ร้าน Glico ร้านนี้ก็จะขายขนมกูลิโกะที่เป็นแนวของที่ระลึกมากกว่า ขนมทั่วๆ ไป เช่น Capulico ชาเขียว ซองเป็นลายโลโก้ของกูลิโกะ ที่เป็นคนวิ่งชูมือ อะไรประมาณนั้น อีกร้านอันนี้จะดังที่ตัวตุ๊กตาที่อยู่หน้าร้าน ชื่อว่า Kuidaore เป็นตุ๊กตารูปคนใส่ชุดลายทางสีแดงสลับขาว ตีกล้อง ตั้งอยู่หน้าร้าน เพื่อเรียกคนเข้าร้าน เดินไปเรื่อยๆ จนสุดถนน ก็ยังไม่เจอมุมยอดฮิตที่หนังสือทุกเล่มต้องถ่ายมุมนี้มาลงเลย งั้นลองเดินวกข้ามคลองไปอีกถนนนึงที่ขนานกันดูละกัน
ถนนนี้แหละ จะพบกับแหล่งบันเทิง แบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ตลอดทางก็จะมีร้าน show girl เหมือนกันหมด หน้าร้านก็จะมีคล้ายเด็กเรียกแขก พอมองเข้าไปก็จะมี poster รูปเด็กผู้หญิงใส่ชุด maid ทำท่าคิกขุ น่ารัก ตอนนั้นกำลังหน้ามืด เลยเลี้ยวเข้าไปทันที เฮ้ย ไม่ใช่ ก็รีบเดิน ไม่สนใจเด็กเรียกแขก แปลกที่ถนนนี้มันเงียบสงบ ไม่ค่อยมีคนเลย นานๆ จะเจอคนเดินสวนมาที ส่วนใหญ่บนถนนมีแต่เด็กเชียร์แขก คิดว่าพอดีตอนนั้นยังไม่ดึก แถวนั้นเลยยังไม่คึกคัก พอเดินจนสุดถนนนี้ ในที่สุดก็เจอแล้ว landmark ที่ทุกคนต้องถ่ายรุปกัน ป้ายโฆษณาไฟ nion ขนาดใหญ่ หลายป้าย หลากสี แต่ที่โดดเด่น และถือเป็นสัญลักษณ์ของแถวนี้ไปแล้วก็คือ ป้ายไฟของ Glico ตัวนักวิ่งสีขาว สลับกับไฟสีน้ำเงิน และแดง พื้นหลังก็จะมีรูป สถานที่สำคัญของ Osaka เช่น Osaka Castle รู้สึกตื่นตากับแสงสี นึกถึงตอนไป New York แล้วไปเจอไฟที่ Time Square เป็นครั้งแรก อยากให้เมืองไทยมีบรรยากาศแบบนี้จัง ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ไฟ nion สว่างจ้า ทั่วถนน อากาศเย็น ผู้คนใส่เสื้อกันหนาว แต่งตัวกันสวยงาม อะ พอ กลับมาสู่ reality ป้ายโฆษณาเหล่านี้ ตั้งอยู่ริมคลอง จุดที่เราจะสามารถมอง และถ่ายรูปได้ ก็คือบนสะพาน จริงๆ แล้วตรงนี้ มันอยู่ที่เดียวกับ ร้านที่ย่างปูแล้วเลี้ยวซ้ายมานี่แหละ แต่ว่าตอนแรกที่มาถึง มัวแต่มองตรง เลยไม่ทันเห็นป้ายพวกนี้ เซ่อจริงๆ กู มองไปอีกด้านนึงของสะพาน จะมีตึกที่มีชิงช้าสวรรค์ รูปร่างไม่เหมือนที่อื่น นั่นคือ หมุนเป็นรูป capsule ตั้งขึ้น นั้นก็คือ มีช่วงที่จะเลื่อนขึ้น หรือลง เป็นเส้นตรงด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ปิด หรือยังไงไม่รู้ ไฟถึงได้มืดแบบนั้น
จากสะพาน ถ้าเราเดินไปอีกด้าน ก็จะเป็นย่าน shopping เป็นถนนคนเดิน มีหลังคาอยู่ข้างบน ตลอดสองข้างทางก็จะมีร้านขายของมากมาย มีทั้งเสื้อผ้า หลากหลายแนว นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหารอีกด้วย คนค่อนข้างจะเยอะ แต่ช่วงนั้น รู้สึกว่ายังไม่อยาก shopping เท่าไหร่เลย เดินไปนิดเดียว ไม่ลึกก็เดินกลับออกมา แต่ขนาดไม่ค่อยอยาก shop ยังไปแวะลองกางเกงที่ Uniquo ไปตัว เป็นกางเกง jean ทรง skinny fit ทรงสวยมากเลย แล้วก็ทำเปิ่น ใส่รองเท้าเข้าห้องลองเข้าเฉย พนักงานวิ่งมาบอกให้ถอดแทบไม่ทัน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ซื้อดีกว่า ไว้ไปซื้อที่ Tokyo ขี้เกียจแบก ไม่แน่ใจว่า ถนนนี้ ชื่อว่า Shinsaibashi หรือป่าวนะ ถ้าใครรู้ก็ช่วยบอกที
ถึงตอนนี้ไปหาไรกินดีกว่า เดินกลับไปตรง Dotonburi ร้านแรกที่แวะก็คือ ร้านขาปูอลาสก้าย่างนี่แหละ กลิ่นมันหอมยวนใจมาก จ่ายไป 500 เยนได้มาขาปู 2 ท่อน กินเข้าไป อร่อยมาก สวรรค์มีจริง เนื้อปูหวาน มีรสเค็มๆ เล็กน้อย น่าจะมาจากการโรยเกลือ เนื้อเนี่ยยุ่ยออกมาเป็นเส้นๆ เลยเวลากิน แล้วอากาศเย็นแบบนี้ กินของร้อนๆ เข้าไปมันมีความสุขนักแล ต่อไป มาถึง Osaka สิ่งที่ต้องกินก็คือ Takoyaki กับ Okonomiyaki งั้นเรามาลอง Takoyaki ละกันหาง่ายดี มีร้านแบบรถเข็นตั่งอยู่ริมถนนตลอดทาง ตอนนี้อยู่ช่วงต้นถนน ก็มีอยู่ 2 ร้าน งั้นเลือกร้านที่มีคนต่อดีกว่า ลองกินดูก็เฉยๆ ไม่ได้อร่อยมากมาย ยังชอบ Gindaco มากกว่า ต่อไป เลือก Okonomiyaki ดีกว่า เดินไปเดินมา มันมีแต่เป็นร้านๆ เข้าไปนั่งกินเลย ตอนนั้นไม่กล้าเข้าไป รู้สึกเหนื่อย ถ้าต้องไปสู้ ถ้าเกิดใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็เลยไม่มีทางเลือก ลองกินร้านรถเข็นข้างทาง แค่ชี้ แต่ร้านนี้มันทำสำเร็จแล้ว พอสั่งมันก็จะเอามาทำให้ร้อน แล้วเพิ่มไข่ เพิ่มซอสอะไรลงไป ประมาณนี้ ก็โอเค ซอสเค็มเชียว แต่ผักนี่กรอบอร่อยดี ตรงกันข้ามกับร้าน Okonomiyaki ข้างถนนนี้ ก็จะมีร้าน Takoyaki อีกร้านเช่นกัน เห็นคนต่อคิวเยอะมากเลยอะ ก็เลยลองซื้อมาชิมดีกว่า กินเข้าไป ข้างนอกก็รู้สึกยังไม่กรอบดีเลย สงสัยเพราะคนต่อเยอะ เลยต้องรีบทำ ลูกก็เล็ก แต่ใส่ปลาแห้งมาให้เยอะสะใจดี เดาว่าที่คนเยอะ เพราะว่าร้านนี้ขายถูกกว่าร้านอื่น แล้วพอคนเห็นคนต่อคิว ก็เลยต่อบ้าง ไรงี้ อิ่มแล้ว กลับโรงแรมนอนดีกว่า จาก Namba เราสามารถขึ้น JR Osaka Loop กลับไปโรงแรมได้ เช่นเคยมีบัตร JR Pass งานนี้ฟรี
ขาปูอลาสก้าย่าง ส่งกลิ่นหอมฉุย มาแต่ไกล ร้านค้าแถวนั้น แต่งป้ายกันแบบไม่ยอมแพ้กันเลย บางร้าน เน้นความใหญ่ ป้ายใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี บางร้าน เน้นไฟ ก็มีไฟวิ่งไปวิ่งมา สว่างไสว บางร้าน เน้นโลโก้ ตุ๊กตา มีหุ่นขยับไปขยับมา เช่น ยักษ์ ปลาปักเป้า มังกร ตัวคานุกิ เป็นต้น เดินชมก่อนก็แล้วกัน ว่ามีไรบ้างที่ถนนนี้ ตลอดทางก็จะเป็นร้านขายอาหาร ซึ่งอาหารที่ขาดไม่ได้สำหรับ Osaka นั้นก็คือ Takoyaki และ Okonomiyaki ตลอดทางมีไม่ต่ำกว่า 10 ร้านได้ บางร้านก็ hot hit มีคนต่อคิวยาว บางร้านก็เงียบเหงาหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีคน ทุกร้านค่อนข้างคึกคักกันหมด ร้านที่น่าสนใจก็จะมี ร้าน Glico ร้านนี้ก็จะขายขนมกูลิโกะที่เป็นแนวของที่ระลึกมากกว่า ขนมทั่วๆ ไป เช่น Capulico ชาเขียว ซองเป็นลายโลโก้ของกูลิโกะ ที่เป็นคนวิ่งชูมือ อะไรประมาณนั้น อีกร้านอันนี้จะดังที่ตัวตุ๊กตาที่อยู่หน้าร้าน ชื่อว่า Kuidaore เป็นตุ๊กตารูปคนใส่ชุดลายทางสีแดงสลับขาว ตีกล้อง ตั้งอยู่หน้าร้าน เพื่อเรียกคนเข้าร้าน เดินไปเรื่อยๆ จนสุดถนน ก็ยังไม่เจอมุมยอดฮิตที่หนังสือทุกเล่มต้องถ่ายมุมนี้มาลงเลย งั้นลองเดินวกข้ามคลองไปอีกถนนนึงที่ขนานกันดูละกัน
ถนนนี้แหละ จะพบกับแหล่งบันเทิง แบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ตลอดทางก็จะมีร้าน show girl เหมือนกันหมด หน้าร้านก็จะมีคล้ายเด็กเรียกแขก พอมองเข้าไปก็จะมี poster รูปเด็กผู้หญิงใส่ชุด maid ทำท่าคิกขุ น่ารัก ตอนนั้นกำลังหน้ามืด เลยเลี้ยวเข้าไปทันที เฮ้ย ไม่ใช่ ก็รีบเดิน ไม่สนใจเด็กเรียกแขก แปลกที่ถนนนี้มันเงียบสงบ ไม่ค่อยมีคนเลย นานๆ จะเจอคนเดินสวนมาที ส่วนใหญ่บนถนนมีแต่เด็กเชียร์แขก คิดว่าพอดีตอนนั้นยังไม่ดึก แถวนั้นเลยยังไม่คึกคัก พอเดินจนสุดถนนนี้ ในที่สุดก็เจอแล้ว landmark ที่ทุกคนต้องถ่ายรุปกัน ป้ายโฆษณาไฟ nion ขนาดใหญ่ หลายป้าย หลากสี แต่ที่โดดเด่น และถือเป็นสัญลักษณ์ของแถวนี้ไปแล้วก็คือ ป้ายไฟของ Glico ตัวนักวิ่งสีขาว สลับกับไฟสีน้ำเงิน และแดง พื้นหลังก็จะมีรูป สถานที่สำคัญของ Osaka เช่น Osaka Castle รู้สึกตื่นตากับแสงสี นึกถึงตอนไป New York แล้วไปเจอไฟที่ Time Square เป็นครั้งแรก อยากให้เมืองไทยมีบรรยากาศแบบนี้จัง ป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ไฟ nion สว่างจ้า ทั่วถนน อากาศเย็น ผู้คนใส่เสื้อกันหนาว แต่งตัวกันสวยงาม อะ พอ กลับมาสู่ reality ป้ายโฆษณาเหล่านี้ ตั้งอยู่ริมคลอง จุดที่เราจะสามารถมอง และถ่ายรูปได้ ก็คือบนสะพาน จริงๆ แล้วตรงนี้ มันอยู่ที่เดียวกับ ร้านที่ย่างปูแล้วเลี้ยวซ้ายมานี่แหละ แต่ว่าตอนแรกที่มาถึง มัวแต่มองตรง เลยไม่ทันเห็นป้ายพวกนี้ เซ่อจริงๆ กู มองไปอีกด้านนึงของสะพาน จะมีตึกที่มีชิงช้าสวรรค์ รูปร่างไม่เหมือนที่อื่น นั่นคือ หมุนเป็นรูป capsule ตั้งขึ้น นั้นก็คือ มีช่วงที่จะเลื่อนขึ้น หรือลง เป็นเส้นตรงด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ปิด หรือยังไงไม่รู้ ไฟถึงได้มืดแบบนั้น
จากสะพาน ถ้าเราเดินไปอีกด้าน ก็จะเป็นย่าน shopping เป็นถนนคนเดิน มีหลังคาอยู่ข้างบน ตลอดสองข้างทางก็จะมีร้านขายของมากมาย มีทั้งเสื้อผ้า หลากหลายแนว นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหารอีกด้วย คนค่อนข้างจะเยอะ แต่ช่วงนั้น รู้สึกว่ายังไม่อยาก shopping เท่าไหร่เลย เดินไปนิดเดียว ไม่ลึกก็เดินกลับออกมา แต่ขนาดไม่ค่อยอยาก shop ยังไปแวะลองกางเกงที่ Uniquo ไปตัว เป็นกางเกง jean ทรง skinny fit ทรงสวยมากเลย แล้วก็ทำเปิ่น ใส่รองเท้าเข้าห้องลองเข้าเฉย พนักงานวิ่งมาบอกให้ถอดแทบไม่ทัน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ซื้อดีกว่า ไว้ไปซื้อที่ Tokyo ขี้เกียจแบก ไม่แน่ใจว่า ถนนนี้ ชื่อว่า Shinsaibashi หรือป่าวนะ ถ้าใครรู้ก็ช่วยบอกที
ถึงตอนนี้ไปหาไรกินดีกว่า เดินกลับไปตรง Dotonburi ร้านแรกที่แวะก็คือ ร้านขาปูอลาสก้าย่างนี่แหละ กลิ่นมันหอมยวนใจมาก จ่ายไป 500 เยนได้มาขาปู 2 ท่อน กินเข้าไป อร่อยมาก สวรรค์มีจริง เนื้อปูหวาน มีรสเค็มๆ เล็กน้อย น่าจะมาจากการโรยเกลือ เนื้อเนี่ยยุ่ยออกมาเป็นเส้นๆ เลยเวลากิน แล้วอากาศเย็นแบบนี้ กินของร้อนๆ เข้าไปมันมีความสุขนักแล ต่อไป มาถึง Osaka สิ่งที่ต้องกินก็คือ Takoyaki กับ Okonomiyaki งั้นเรามาลอง Takoyaki ละกันหาง่ายดี มีร้านแบบรถเข็นตั่งอยู่ริมถนนตลอดทาง ตอนนี้อยู่ช่วงต้นถนน ก็มีอยู่ 2 ร้าน งั้นเลือกร้านที่มีคนต่อดีกว่า ลองกินดูก็เฉยๆ ไม่ได้อร่อยมากมาย ยังชอบ Gindaco มากกว่า ต่อไป เลือก Okonomiyaki ดีกว่า เดินไปเดินมา มันมีแต่เป็นร้านๆ เข้าไปนั่งกินเลย ตอนนั้นไม่กล้าเข้าไป รู้สึกเหนื่อย ถ้าต้องไปสู้ ถ้าเกิดใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็เลยไม่มีทางเลือก ลองกินร้านรถเข็นข้างทาง แค่ชี้ แต่ร้านนี้มันทำสำเร็จแล้ว พอสั่งมันก็จะเอามาทำให้ร้อน แล้วเพิ่มไข่ เพิ่มซอสอะไรลงไป ประมาณนี้ ก็โอเค ซอสเค็มเชียว แต่ผักนี่กรอบอร่อยดี ตรงกันข้ามกับร้าน Okonomiyaki ข้างถนนนี้ ก็จะมีร้าน Takoyaki อีกร้านเช่นกัน เห็นคนต่อคิวเยอะมากเลยอะ ก็เลยลองซื้อมาชิมดีกว่า กินเข้าไป ข้างนอกก็รู้สึกยังไม่กรอบดีเลย สงสัยเพราะคนต่อเยอะ เลยต้องรีบทำ ลูกก็เล็ก แต่ใส่ปลาแห้งมาให้เยอะสะใจดี เดาว่าที่คนเยอะ เพราะว่าร้านนี้ขายถูกกว่าร้านอื่น แล้วพอคนเห็นคนต่อคิว ก็เลยต่อบ้าง ไรงี้ อิ่มแล้ว กลับโรงแรมนอนดีกว่า จาก Namba เราสามารถขึ้น JR Osaka Loop กลับไปโรงแรมได้ เช่นเคยมีบัตร JR Pass งานนี้ฟรี
วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551
ปราสาทสมัยใหม่ Osaka Castle
รีบเดินข้ามถนนไป ก็พบกับความยิ่งใหญ่ของคูน้ำ และกำแพง เดินต่อไปอีกหน่อย ก็เจอกับ Otemon หรือก็คือ ประตูหลัก ตอนนี้ก็เข้ามาอาณาเขตปราสาทแล้ว มองไปรอบๆ มีกำแพงหิน ก้อนใหญ่มากเลย ลองดูในรูปละกัน ชื่นชมคนสมัยก่อนมากที่สามารถตัดหินขนาดใหญ่มา แล้วเอามาวางได้พอดีขนาดนี้ สิ่งที่แตกต่างกับ Himeji Castle ก็คือ ที่นี่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างเพิ่มเติม อยู่ในอาณาเขตนั้นด้วย เดินเข้าไปอีกนิด ก็เจอคูน้ำ ที่แห้งแล้วอีกชั้นนึง ตรงข้ามทางเข้าปราสาท ก็จะมีร้านอาหารให้เราแวะนั่งกิน ชิวๆ กับวัด อะไรสักอย่าง ไม่รู้ชื่อแหะ แต่อารมณ์นี้ไม่สนแล้ว กูจะไปปราสาท ข้ามสะพานคู่น้ำ(แห้ง) ผ่านประตูเข้าไป เจอที่ตักน้ำให้ล้างมือ แบบตามศาลเจ้า เดินเข้าไป เจอปราสาท กับตึกไรสักอย่าง รู้สึกว่าจะเป็นโรงละครนะ ถ้าจำไม่ผิด นั่นไง ปราสาทหลังคาสีเขียว เด่นเป็นสง่า จุดหมายของเรา ข้างๆ ก็จะเป็นร้านอาหาร (อีกแล้ว) เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นแต่ปราสาท อ้าว มันมีแค่นี้หรอวะ แค่ปราสาท จบ ทำไมไม่เหมือนที่ Himeji เลย
เข้าไปดูเลยละกัน จ่ายค่าเข้าชม 600 เยน เดินขึ้นไปปราสาท ก็จะเจอกับบ่อน้ำ กับปืนใหญ่ เข้าไปก็มีพนักงานออกมา ต้อนรับ แล้วพาเราเข้า lift ไป พอเข้าไปถึง
ที่ปราสาท Osaka นี้ที่เห็นข้างนอกยังเป็นปราสาทสวยงามแบบสมัยก่อนอยู่ใน ความจริงภายในถูกดัดแปลง ตกแต่งใหม่ให้ทันสมัยหมดทั้งปราสาท ทั้งติดแอร์ มี lift และภายในก็ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ โชว์ของล้ำค่ามากมาย เรามาต่อกันดีกว่า พอออกจาก lift ที่ชั้น 5 ก็จะเจอกับวิดีทัศน์ เล่าเรื่องสงครามที่ Osaka แต่เค้าทำได้ดีมากเลย คือ จะมีจออยู่หลายๆ จอ แต่ละจอ ก็จะฉาย vdo ไปที่ฉากใสๆ กลางจอ แล้วข้างๆ ก็จะเป็นรูป ต้นไม้ ใบหญ้า สิ่งก่อสร้าง ประกอบฉาก พอเรามองเข้าไป ก็จะคล้ายๆ ภาพ 3 มิติ ที่ลอยอยู่ตรงกลางจอ หวังว่าคงจะจินตนาการออกนะครับ มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากอะ ชอบ ส่วน hi-light อีกอันคือ ชั้นบนสุด ชั้นที่ 8 ก็จะเป็นที่ให้ชมวิวเมือง Osaka ก็เหมือนกับที่ Himeji Castle ที่เราสามารถชมวิวได้ทั้ง 4 ทิศ จากชั้นนี้ เราก็จะเห็นช่อฟ้ารูปปลาสีทองอร่าม ที่ประดับอยู่บนหลังคาปราสาท ได้อย่างชัดเจน สวยมากเลย เรากลับมาที่ชั้น 3-4 ที่ห้ามถ่ายรูป ชั้นนี้เป็นชั้นที่แสดงโบราณวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดผ้าของโชกุน เสื้อเกราะ ภาพวาด หนังสือ อะไรพวกนั้น แต่ที่ไม่เข้าใจอยู่อย่างก็คือ บนชั้นนี้ก็มีป้ายห้ามถ่ายรูป ถ่าย vdo ที่เป็นทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ แปะอยู่เป็นระยะๆ แต่ทำไมก็ยังมีคนอ่านหนังสือไม่ออก ถ่ายรูป ถ่าย vdo ยิง flash กันให้แสบตาแบบนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ
1 ชั่วโมงกับการชม Osaka Castle หมดแล้ว รวดเร็วจริงๆ พอดีคราวนี้ต้องการเร่งเวลา เลยไม่มีเวลานั่งอ่านว่าของแต่ละชิ้นคืออะไร ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน (หวังว่าจะได้กลับไปเที่ยวอีก) ออกจากปราสาท ลองเดินมาโซนที่ขายอาหาร ก็เห็น Takoyaki ขายอยู่ ว่าแล้วขอลองหน่อยละกัน กินเข้าไป กรอบนอก นุ่มในจริงๆ แต่จืดเช่นเคย น้ำซอสที่ราดก็แห้งๆ ตอนนั้นไปกิน Takoyaki ของ Gindaco ที่ฮ่องกง จำได้ว่าอร่อยกว่านี้อะ สงสัยนี่คนละร้าน ไม่เป็นไร ให้อภัย บริเวณใกล้ๆ ก็จะมี Time Capsule เก็บข้อมูลต่างๆ ของงาน EXPO ที่จัดที่ Osaka เมื่อปี 1970 ข้างจะอธิบายถึงโครงสร้างข้างใน ดูแล้วรู้สึกลึกมากเลยของที่ฝั่งไว้ข้างใต้นี้
ตอนนี้ก็ 5 โมงแล้ว ไปจุดต่อไปต่อดีกว่า เดินออกจากปราสาท ก็กะจะไปวัดที่เจอก่อนที่จะเข้ามาที่ปราสาทก่อน ไปถึงก็ถ่ายรูปๆ และแล้วเรื่องที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น นั้นคือ กำลังถ่ายรูปอยู่ดีๆ ที่ LCD ของกล้อง ก็ม่วงไปครึ่งหนึ่ง ตายห่า เกิดไรขึ้นเนี่ย และแล้วก็นึกได้ว่า กล้องที่ใช้อยู่ คือ Canon A95 นั้นมันมี defect ถ้าไปเจออากาศที่หนาวเย็นมาก CCD มันจะเสีย! โอ พระเจ้า ทำไมต้องมาเกิดกันตอนนี้ด้วย คิดไปต่างๆ นานา จะซื้อกล้องใหม่เลยดีไหมวะ คือก่อนหน้านี้มีความคิดว่าอยากได้กล้อง SLR สักตัว เฮ้ยไม่เอาๆ ยังไม่พร้อมขนาดนั้น ทำไปทำมา มันเกิดเพราะอากาศหนาวใช่ไหม งั้นก็เอามือกำไว้ ให้มันอุ่นขึ้น น่าจะช่วยได้ กำไปสักพัก เฮ้ยได้ผล หายแล้วๆๆๆๆ โล่งอก งั้นไปจุดหมายต่อไปเลยก็แล้วกัน ก็เลยเดินไปขึ้นรถที่สถานีรถไฟ Morinomiya ระหว่างทางก็จะผ่านสวน ที่ตกแต่งต้นไม้ได้สวยงามมาก
เข้าไปดูเลยละกัน จ่ายค่าเข้าชม 600 เยน เดินขึ้นไปปราสาท ก็จะเจอกับบ่อน้ำ กับปืนใหญ่ เข้าไปก็มีพนักงานออกมา ต้อนรับ แล้วพาเราเข้า lift ไป พอเข้าไปถึง
![]() | ||
Staff: *$%#^%#@^#@$^%*$@&%* (ใส่มาเป็นชุด) Me: (ช็อคเล็กน้อย แล้วตอบกลับด้วยความรู้ภาษาญี่ปุ่นอันน้อยนิด ที่เคยเรียนมา)Nihongo wa wakarimazen (แปลว่า ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น) Staff: (ทำหน้า เข้าใจ แล้วพยายามพูดภาษาอังกฤษ) Where are you from? Me: Thailand Staff: Taiwan? Me: No. Thailand. Thai. Staff: (ทำปากอ๋อ) Hai Hai (แต่หน้าเธอยัง งง อยู่ แล้วเธอก็อธิบายว่า เนี่ยจะพาไปส่งที่ชั้น 5 นะ ถ้าจะชมวิว ก็สามารถเดินขึ้นไปต่อเองได้ ส่วนชั้น 3-4 นี่ห้ามถ่ายรูปนะ แล้ว lift ก็ถึงชั้น 5 พอดี) | ||
![]() |
ที่ปราสาท Osaka นี้ที่เห็นข้างนอกยังเป็นปราสาทสวยงามแบบสมัยก่อนอยู่ใน ความจริงภายในถูกดัดแปลง ตกแต่งใหม่ให้ทันสมัยหมดทั้งปราสาท ทั้งติดแอร์ มี lift และภายในก็ถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ โชว์ของล้ำค่ามากมาย เรามาต่อกันดีกว่า พอออกจาก lift ที่ชั้น 5 ก็จะเจอกับวิดีทัศน์ เล่าเรื่องสงครามที่ Osaka แต่เค้าทำได้ดีมากเลย คือ จะมีจออยู่หลายๆ จอ แต่ละจอ ก็จะฉาย vdo ไปที่ฉากใสๆ กลางจอ แล้วข้างๆ ก็จะเป็นรูป ต้นไม้ ใบหญ้า สิ่งก่อสร้าง ประกอบฉาก พอเรามองเข้าไป ก็จะคล้ายๆ ภาพ 3 มิติ ที่ลอยอยู่ตรงกลางจอ หวังว่าคงจะจินตนาการออกนะครับ มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากอะ ชอบ ส่วน hi-light อีกอันคือ ชั้นบนสุด ชั้นที่ 8 ก็จะเป็นที่ให้ชมวิวเมือง Osaka ก็เหมือนกับที่ Himeji Castle ที่เราสามารถชมวิวได้ทั้ง 4 ทิศ จากชั้นนี้ เราก็จะเห็นช่อฟ้ารูปปลาสีทองอร่าม ที่ประดับอยู่บนหลังคาปราสาท ได้อย่างชัดเจน สวยมากเลย เรากลับมาที่ชั้น 3-4 ที่ห้ามถ่ายรูป ชั้นนี้เป็นชั้นที่แสดงโบราณวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดผ้าของโชกุน เสื้อเกราะ ภาพวาด หนังสือ อะไรพวกนั้น แต่ที่ไม่เข้าใจอยู่อย่างก็คือ บนชั้นนี้ก็มีป้ายห้ามถ่ายรูป ถ่าย vdo ที่เป็นทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ แปะอยู่เป็นระยะๆ แต่ทำไมก็ยังมีคนอ่านหนังสือไม่ออก ถ่ายรูป ถ่าย vdo ยิง flash กันให้แสบตาแบบนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ
1 ชั่วโมงกับการชม Osaka Castle หมดแล้ว รวดเร็วจริงๆ พอดีคราวนี้ต้องการเร่งเวลา เลยไม่มีเวลานั่งอ่านว่าของแต่ละชิ้นคืออะไร ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน (หวังว่าจะได้กลับไปเที่ยวอีก) ออกจากปราสาท ลองเดินมาโซนที่ขายอาหาร ก็เห็น Takoyaki ขายอยู่ ว่าแล้วขอลองหน่อยละกัน กินเข้าไป กรอบนอก นุ่มในจริงๆ แต่จืดเช่นเคย น้ำซอสที่ราดก็แห้งๆ ตอนนั้นไปกิน Takoyaki ของ Gindaco ที่ฮ่องกง จำได้ว่าอร่อยกว่านี้อะ สงสัยนี่คนละร้าน ไม่เป็นไร ให้อภัย บริเวณใกล้ๆ ก็จะมี Time Capsule เก็บข้อมูลต่างๆ ของงาน EXPO ที่จัดที่ Osaka เมื่อปี 1970 ข้างจะอธิบายถึงโครงสร้างข้างใน ดูแล้วรู้สึกลึกมากเลยของที่ฝั่งไว้ข้างใต้นี้
ตอนนี้ก็ 5 โมงแล้ว ไปจุดต่อไปต่อดีกว่า เดินออกจากปราสาท ก็กะจะไปวัดที่เจอก่อนที่จะเข้ามาที่ปราสาทก่อน ไปถึงก็ถ่ายรูปๆ และแล้วเรื่องที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น นั้นคือ กำลังถ่ายรูปอยู่ดีๆ ที่ LCD ของกล้อง ก็ม่วงไปครึ่งหนึ่ง ตายห่า เกิดไรขึ้นเนี่ย และแล้วก็นึกได้ว่า กล้องที่ใช้อยู่ คือ Canon A95 นั้นมันมี defect ถ้าไปเจออากาศที่หนาวเย็นมาก CCD มันจะเสีย! โอ พระเจ้า ทำไมต้องมาเกิดกันตอนนี้ด้วย คิดไปต่างๆ นานา จะซื้อกล้องใหม่เลยดีไหมวะ คือก่อนหน้านี้มีความคิดว่าอยากได้กล้อง SLR สักตัว เฮ้ยไม่เอาๆ ยังไม่พร้อมขนาดนั้น ทำไปทำมา มันเกิดเพราะอากาศหนาวใช่ไหม งั้นก็เอามือกำไว้ ให้มันอุ่นขึ้น น่าจะช่วยได้ กำไปสักพัก เฮ้ยได้ผล หายแล้วๆๆๆๆ โล่งอก งั้นไปจุดหมายต่อไปเลยก็แล้วกัน ก็เลยเดินไปขึ้นรถที่สถานีรถไฟ Morinomiya ระหว่างทางก็จะผ่านสวน ที่ตกแต่งต้นไม้ได้สวยงามมาก
วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551
หลงทาง มึนงง ใน Osaka
จาก Himeji นั่งรถไฟแค่ครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงสถานี Shin-Osaka ต้องนั่งรถไฟอีกสาย เข้าไปยังสถานี Osaka จริงๆ ตอนนี้ก็แค่ บ่ายโมงหน่อยๆ เอง เลยตัดสินใจไป Check-in ที่โรงแรมก่อนดีกว่า จากสถานี Osaka ก็นั่งรถไฟ JR (ฟรีอีกแล้ว) ไปลงที่สถานี Shin-Imamiya
โรงแรมที่จะพักนั้นชื่อว่า Raizan Hotel เป็น Business Hotel พูดง่ายๆ ก็คือโรงแรมราคาถูก เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างสะดวก เพราะอยู่ใกล้กับทั้งสถานีรถไฟ JR Shin-Imamiya และสถานีรถไฟใต้ดินของ Osaka Dobutsuen-Mae จากทั้ง 2
สถานีเดินไม่ถึง 3 นาทีก็จะถึงโรงแรมทันที โรงแรมนี้มีห้อง 2 แบบ คือ แบบญี่ปุ่น (นอนกับฟูก) กับแบบตะวันตก (นอนเตียง) เพื่อให้ได้บรรยากาศญี่ปุ่น ก็เลยเลือกห้องแบบญี่ปุ่น ราคาตกคืนละ 2,100 เยนเท่านั้น (แต่พอไปถึงหน้า counter ราคาเป็นคืนละ 2,200 เยน)โรงแรมนี้เป็นที่ฮิตมากในหมู่คนไทย ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมเปิดเป็นช่วงเวลา แต่ถ้าใครยังอาย ไม่กล้าอาบกับคนอื่น เค้าก็มีห้องส่วนตัวให้อาบเหมือนกัน พอเข้าไปในห้อง ห้องมีขนาด 3 เสื่อ เล็กมาก กางแขน 2 ข้างก็ชนกำแพงเลย มีที่ให้วางรองเท้าในห้อง ในห้องก็จะมีทีวีแล้วกับเครื่องเล่นวิดีโอให้เรา ใครอยากดูอะไร ก็ลงไปหยิบที่ตู้ข้างล่างได้ มีหมด ไม่ว่าจะเป็นหนังฝรั่ง หนังญี่ปุ่น หรือหนังโป๊ก็มี แต่พอดีห้องที่ไปพักมันเสีย ก็เลยดูไม่ได้ แต่ขี้เกียจไปบอกเค้า ตัวโรงแรมเอง พนักงานพอพูดภาษาอังกฤษได้ ระดับนึง มีเครื่องคอมพิวเตอร์เอาไว้ให้เล่นเน็ตด้วย แต่จะปิดตอนเที่ยงคืน คนพักก็ค่อนข้างเยอะ เห็นมีทั้งฝรั่งอะไรพักก็มี ถ้าใครสนใจก็ลองไปดูรายละเอียดได้ที่เว็ป www.raizan.net/index2.htm นะครับ
พอวางของเสร็จก็รีบออกไปทันที จุดหมายของเราก็คือ วัด Shitennoji จากโรงแรม ขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Dobutsuen-Mae ไปลงที่สถานี Shitennoji-Mae Yuhigaoka แล้ววัดก็จะอยู่แถวนั้น ง่ายมาก ก็ดูแผนที่รถไฟว่าเราต้อง ไปขึ้นรถสายไหน แล้วต่ออะไรยังไง จากแผ่นที่ก็ดู อ่อ นั่งแค่ 2 สถานีก็ถึงแล้วนี่หน่า พอไปถึงลงสถานี ก็ไม่ได้ทันดูว่าสถานีที่ลงคืออะไร ก็หยิบแผ่นที่มาดูว่าจาก สถานีเนี่ย เดินไปวัด Shitennoji ยังไง ก็ลองเดินดู แต่เอ๊ะ มันควรจะถึงแล้วนี่หน่า ทำไมไม่ถึงสักที เดินไปเรื่อยๆ เจอสถานีรถไฟ อีกสถานี ที่ชื่อว่า Tanimachi-9-chome ก็ลองดูแผ่นที่ เอ๊ะ มันก็ไม่น่าจะไกลขนาดนี้นี่ เดินกลับไปดูที่สถานีเมื่อกี้ดีกว่า กลับไปถึง มีป้ายบอกสถาที่ท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียงสถานี ก็หาวัด Shitennoji ไม่เจอ เอ๊ะ นี่มันอะไร ก็ลงถูกสถานีนี่ มองไปที่ป้ายสถานี อ้าวตายห่า สถานีนี้มัน Nippombashi นี่ เฮ้ยเป็นไปได้ไง พอมองแผ่นที่ดีๆ โถ่ สถานีมันติดกันนี่ หมายถึงติดกันในแผ่นที่รถไฟนะ ในความจริง มันไม่ได้ใกล้กันเลย ตอนนี้มันก็ใกล้เวลาปิดของวัดแล้ว ถ้าไปคงไม่ทัน งั้นเปลี่ยนจุดหมายเป็น Osaka Castle ละกัน หยิบคู่มือที่ print มาดู มันอยู่ใกล้กับสถานี Tanimachi chome อะไรที่เมื่อกี้ผ่านมานี่หน่า โหแค่นี้เอง งั้นเดินเลย พอไปถึงสถานีดูแผ่นที่ มันก็เดินไปจากสถานีนิดหน่อย ก็เริ่มเดิน เดินได้สักพัก เอ๊ะ ทำไมไม่ถึงสักที เดินไปอีกหน่อยละกัน แผ่นที่มันอาจจะสเกลไม่ตรง เริ่มไม่ไหวแล้ว กูจะหลงอีกแล้วหรอเนี่ย ถามคนดีกว่า แล้วจะถามใครดีละ มีคุณลุงคนนึงเดินมา ท่าทางจะไม่ไหว พูดอังกฤษไม่ได้แน่ เดินต่อไปอีกหน่อย เจอผู้หญิงคนนึงเดินมาพอดี เอาถามคนนี้แหละ
ผ่านไปได้กับการถามทาง ง่ายกว่าที่คิดแหะ แล้วคนญี่ปุ่นก็ใจดี ยินดีช่วยเหลือเราด้วย เดินตามทางที่เค้าบอกได้สักพัก ก็เจอสถานีรถไฟอีกแล้ว มองผ่านๆ ชื่อ Tanimachi chome เอ๊ะ ทำไมสถานีนี้มันใหญ่จังวะ เดินมาตั้งไกลยังไม่หมด สถานีอีก แต่ยังไงเรามาถูกทางแล้ว เดี๊ยวก็คงถึง ก็เลยเดินต่อไป เดินไปได้อีก 10 นาที ก็เจอสถานีรถไฟอีกแล้ว ชื่อก็ Tanimachi chome อีก อะไรวะ มันใหญ่เกินไปแล้วนะ ลองมองอีกที Tanimachi-4-chome ไปดูในแผ่นที่ เฮ้ย Tanimachi chome ไรเนี้ย มันมี 3 สถานี มี Tanimachi-9-chome แล้วก็มี 6 กับ 4 อีก เฮ้ย แม่งหลอกกูเดินตั้งไกล เสียเวลาด้วย รู้งี้นั่งรถตั้งแต่แรกเลยดีกว่า เหนื่อย ดีที่อากาศเย็นนะ ไม่งั้นตายไปแล้ว นึกถึงคราวนั้น ที่ไปสิงคโปร์ ก็เดินเยอะแบบนี้แหละ แต่มันโคตรร้อน เหงื่อออกเป็นปี๊บๆ คิดถึงแล้วร้อนขึ้นมาทันที เนี่ยแหละสถานีแล้ว เดินไม่ไกล ถึงแน่ๆ เดินไปได้สักพัก มองไปทางขวา เห็นว่า น่าจะเป็นอะไรโล่งๆ ไม่รู้อะไรดลใจก็เลยเลี้ยวขวา โดยไม่ปรึกษาแผ่นที่ก่อน ก็เดินไปได้นิดเดียวด้านขวาก็เจอ NHK เฮ้ยๆ จำได้ๆ NHK นี่อยู่ใกล้ปราสาทนี่หว่า ทันทีที่หันไปทางตรงข้ามกับ NHK ด้านซ้าย ปราสาทๆๆๆๆๆ เจอแล้ว ปราสาทสีเขียว มีช่อฟ้าปลาสีทอง ส่องสว่างตามแสงอาทิตย์ยามเย็น เห็นอยู่ริบๆ โอ๊ยในที่สุดก็เจอสักที ดีใจมาก ก็เข้าใจอารมณ์ คนที่หลงทาง แล้วพยายามหาทางกลับบ้าน แล้วก็เจอทางได้ในที่สุดขึ้นมาเลย สรุปใช้เวลาร่วมชั่วโมงได้ กับการเดิน ถ้านั่งรถไฟมาเนี่ย คงจะถึงตั้งแต่ 50 นาทีที่แล้ว เฮ่อ จริงๆ แล้วติด NHK ก็มีสถานีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกอัน ก็คือ Osaka Mesuem of History ด้วย แต่คราวนี้ไม่ได้แวะไป




credit picture from Favorite Nightmare Bloggang
โรงแรมที่จะพักนั้นชื่อว่า Raizan Hotel เป็น Business Hotel พูดง่ายๆ ก็คือโรงแรมราคาถูก เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างสะดวก เพราะอยู่ใกล้กับทั้งสถานีรถไฟ JR Shin-Imamiya และสถานีรถไฟใต้ดินของ Osaka Dobutsuen-Mae จากทั้ง 2

พอวางของเสร็จก็รีบออกไปทันที จุดหมายของเราก็คือ วัด Shitennoji จากโรงแรม ขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Dobutsuen-Mae ไปลงที่สถานี Shitennoji-Mae Yuhigaoka แล้ววัดก็จะอยู่แถวนั้น ง่ายมาก ก็ดูแผนที่รถไฟว่าเราต้อง ไปขึ้นรถสายไหน แล้วต่ออะไรยังไง จากแผ่นที่ก็ดู อ่อ นั่งแค่ 2 สถานีก็ถึงแล้วนี่หน่า พอไปถึงลงสถานี ก็ไม่ได้ทันดูว่าสถานีที่ลงคืออะไร ก็หยิบแผ่นที่มาดูว่าจาก สถานีเนี่ย เดินไปวัด Shitennoji ยังไง ก็ลองเดินดู แต่เอ๊ะ มันควรจะถึงแล้วนี่หน่า ทำไมไม่ถึงสักที เดินไปเรื่อยๆ เจอสถานีรถไฟ อีกสถานี ที่ชื่อว่า Tanimachi-9-chome ก็ลองดูแผ่นที่ เอ๊ะ มันก็ไม่น่าจะไกลขนาดนี้นี่ เดินกลับไปดูที่สถานีเมื่อกี้ดีกว่า กลับไปถึง มีป้ายบอกสถาที่ท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียงสถานี ก็หาวัด Shitennoji ไม่เจอ เอ๊ะ นี่มันอะไร ก็ลงถูกสถานีนี่ มองไปที่ป้ายสถานี อ้าวตายห่า สถานีนี้มัน Nippombashi นี่ เฮ้ยเป็นไปได้ไง พอมองแผ่นที่ดีๆ โถ่ สถานีมันติดกันนี่ หมายถึงติดกันในแผ่นที่รถไฟนะ ในความจริง มันไม่ได้ใกล้กันเลย ตอนนี้มันก็ใกล้เวลาปิดของวัดแล้ว ถ้าไปคงไม่ทัน งั้นเปลี่ยนจุดหมายเป็น Osaka Castle ละกัน หยิบคู่มือที่ print มาดู มันอยู่ใกล้กับสถานี Tanimachi chome อะไรที่เมื่อกี้ผ่านมานี่หน่า โหแค่นี้เอง งั้นเดินเลย พอไปถึงสถานีดูแผ่นที่ มันก็เดินไปจากสถานีนิดหน่อย ก็เริ่มเดิน เดินได้สักพัก เอ๊ะ ทำไมไม่ถึงสักที เดินไปอีกหน่อยละกัน แผ่นที่มันอาจจะสเกลไม่ตรง เริ่มไม่ไหวแล้ว กูจะหลงอีกแล้วหรอเนี่ย ถามคนดีกว่า แล้วจะถามใครดีละ มีคุณลุงคนนึงเดินมา ท่าทางจะไม่ไหว พูดอังกฤษไม่ได้แน่ เดินต่อไปอีกหน่อย เจอผู้หญิงคนนึงเดินมาพอดี เอาถามคนนี้แหละ
![]() | ||
Me: Sumimasen Osaka Jo (ชี้ซ้ายชี้ขวา) Japanese Women: (ทำหน้างง) Me: (เอาไงดีวะ งั้นก็ หยิบแผ่นที่ แล้วชี้ไปที่ Osaka Castle ในแผ่นที่ แล้วชี้ซ้าย ชี้ขวา) Japanese Women: (ทำหน้า เข้าใจ แล้วพูดอะไรกับตัวเอง เป็นภาษาญี่ปุ่น) %$6*&@#$*&@$ (สักพักนึง เธอก็ชี้ไปทางข้างหน้า) Me: Arigato gozaimasu | ||
![]() |
ผ่านไปได้กับการถามทาง ง่ายกว่าที่คิดแหะ แล้วคนญี่ปุ่นก็ใจดี ยินดีช่วยเหลือเราด้วย เดินตามทางที่เค้าบอกได้สักพัก ก็เจอสถานีรถไฟอีกแล้ว มองผ่านๆ ชื่อ Tanimachi chome เอ๊ะ ทำไมสถานีนี้มันใหญ่จังวะ เดินมาตั้งไกลยังไม่หมด สถานีอีก แต่ยังไงเรามาถูกทางแล้ว เดี๊ยวก็คงถึง ก็เลยเดินต่อไป เดินไปได้อีก 10 นาที ก็เจอสถานีรถไฟอีกแล้ว ชื่อก็ Tanimachi chome อีก อะไรวะ มันใหญ่เกินไปแล้วนะ ลองมองอีกที Tanimachi-4-chome ไปดูในแผ่นที่ เฮ้ย Tanimachi chome ไรเนี้ย มันมี 3 สถานี มี Tanimachi-9-chome แล้วก็มี 6 กับ 4 อีก เฮ้ย แม่งหลอกกูเดินตั้งไกล เสียเวลาด้วย รู้งี้นั่งรถตั้งแต่แรกเลยดีกว่า เหนื่อย ดีที่อากาศเย็นนะ ไม่งั้นตายไปแล้ว นึกถึงคราวนั้น ที่ไปสิงคโปร์ ก็เดินเยอะแบบนี้แหละ แต่มันโคตรร้อน เหงื่อออกเป็นปี๊บๆ คิดถึงแล้วร้อนขึ้นมาทันที เนี่ยแหละสถานีแล้ว เดินไม่ไกล ถึงแน่ๆ เดินไปได้สักพัก มองไปทางขวา เห็นว่า น่าจะเป็นอะไรโล่งๆ ไม่รู้อะไรดลใจก็เลยเลี้ยวขวา โดยไม่ปรึกษาแผ่นที่ก่อน ก็เดินไปได้นิดเดียวด้านขวาก็เจอ NHK เฮ้ยๆ จำได้ๆ NHK นี่อยู่ใกล้ปราสาทนี่หว่า ทันทีที่หันไปทางตรงข้ามกับ NHK ด้านซ้าย ปราสาทๆๆๆๆๆ เจอแล้ว ปราสาทสีเขียว มีช่อฟ้าปลาสีทอง ส่องสว่างตามแสงอาทิตย์ยามเย็น เห็นอยู่ริบๆ โอ๊ยในที่สุดก็เจอสักที ดีใจมาก ก็เข้าใจอารมณ์ คนที่หลงทาง แล้วพยายามหาทางกลับบ้าน แล้วก็เจอทางได้ในที่สุดขึ้นมาเลย สรุปใช้เวลาร่วมชั่วโมงได้ กับการเดิน ถ้านั่งรถไฟมาเนี่ย คงจะถึงตั้งแต่ 50 นาทีที่แล้ว เฮ่อ จริงๆ แล้วติด NHK ก็มีสถานีที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกอัน ก็คือ Osaka Mesuem of History ด้วย แต่คราวนี้ไม่ได้แวะไป




credit picture from Favorite Nightmare Bloggang
วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2551
สัมผัสความยิ่งใหญ่ของ Himeji Castle
หลับเพลิน ตื่นมาอีกที ถึงสถานี Kobe แล้ว ว่าแต่มันอยู่ไหนเนี่ย เอาตารางรถไฟมาดู อ้าว อีกสถานีเดียวก็จะถึงแล้ว เตรียมตัวๆ จากสถานี Kobe ก็ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานี Himeji พอลงจากรถ ก็สามารถมองเห็นปราสาทเลย เดินลงมาข้างล่าง ก็จะพบกับแบบจำลองของปราสาท Himeji และก็เกี้ยว หรืออะไรสักอย่าง ทันที อยู่ในสถานีเลย ขั้นแรกต้องหา locker ใส่กระเป๋าซะก่อน เอากระเป๋าใส่ locker หยอดเหรียญไป 300 เยนแล้วไขกุญแจ แค่นี้ก็เรียบร้อย สบายตัว ไม่ต้องแบกอีกต่อไป
อย่างที่บอกจากสถานีก็สามารถมองเห็นปราสาท Himeji ได้ เพราะฉะนั้น แผ่นที่อะไรก็ไม่จำเป็นแล้ว ก็แค่เดินๆ ตรงๆ ไปจากสถานีไปเรื่อยๆ ก็จะถึงปราสาทแล้ว ถนนที่จะนำไปยังปราสาท ก็เดินได้หลายสาย ซึ่งทั้งสองสายมันจะขนานกัน และใช้เวลาเท่ากัน สายแรก ก็จะเดินไปตามถนนใหญ่ ซ้ายและขวาก็จะเป็นวิวของเมือง ระหว่างทางก็จะมีพวกรูปปั้นต่างๆ แล้วก็ศูนย์ท่องเที่ยวของ Himeji ส่วนอีกสาย ก็จะเป็นถนนคนเดิน ข้างบนมีหลังคาบังแดด บังฝน สองข้างทางก็จะเป็นร้านขายของ ทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ มีหมด เดินไปได้ไม่ถึง 20 นาที ก็จะถึงปราสาท
สัมผัสแรก รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาท ภายนอกมีคลองกั้น เลยคลองก็จะเป็นกำแพงสูง ซึ่งเราสามารถเข้าไปได้โดยผ่านประตูไม้ขนาดใหญ่ พอผ่านประตูเข้าไป ก็จะเจอกับลานกว้าง ไม่รู้ว่าปกติจะมีหญ้าหรือป่าว พอดีไปช่วงหน้าหนาว เลยมีแต่ทราย จากมุมนี้ จะเห็นปราสาทเด่นอยู่ข้ามกลางฟ้าสีฟ้าใส เป็นภาพที่สวยจริงๆ มีคนญี่ปุ่นเยอะแยะกำลังถ่ายรูปที่มุมนี้อยู่เช่นกัน ที่ลานนี้ก็จะมีเด็กๆ วิ่งเล่นเต็มไปหมด จริงๆ ในบริเวณนี้ นอกจากตัวปราสาทซึ่งเป็น Hi-light ของเมืองแล้ว ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่นสวนสัตว์ Himeji ที่อยู่ข้างๆ ของปราสาทนี่เอง แต่คราวนี้ไม่ได้เข้านะ เดินเลาะลาน ไปยังปราสาท ก็เสียค่าเข้าชม 600 เยน พร้อมรับบัตรเข้าชม และแผ่นพับแนะนำปราสาท
สำหรับปราสาท Himeji นี้ก็ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992 และเป็นปราสาทเดียวที่ยังคงสภาพได้เหมือนแต่แรกที่สร้างมา (ตามที่เข้าใจนะ) จุดสนใจก็สำหรับปราสาท Himeji นั้นก็ไม่ได้มีแค่ตัวปราสาทเพียงอย่างเดียว รอบๆ ปราสาทก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วย แนะนำมาพอแล้ว ลองเข้าไปชมด้วยกันดีกว่า จากทางเข้า ก็จะเจอกับกำแพงชั้นแรก ผ่านกำแพงไป ก็จะพบกับสวน มีทางเลือกให้เราเลือกเดิน 2 แบบคือ ทางเดินปกติ คือ เดินทั่วๆ หรือว่าทางที่ลัดไปที่ปราสาททันที เราจะชมทั่วๆ งั้นก็ไปตามทางปกติดีกว่า จากสวน เราก็จะไปยังกำแพงชั้นนอกซึ่งจะเชื่อมกับห้องของเจ้าหญิง Sen ไปถึงก็ต้องถอดรองเท้าแล้วใส่ถุงหิ้ว เดิน บนระเบียงก็จะมีห้องหับต่างๆ และช่องที่เอาไว้ปล่อยหิน พอเดินไปสุดทางก็จะเจอกับห้องของเจ้าหญิง Sen
จากกำแพงชั้นนอก เดินเข้ามาผ่านกำแพงอีกชั้นนึง (ไม่รู้ว่า คือกำแพงชั้นในหรือป่าว) ก็จะเจอกับบันไดหิน ซึ่งหินแต่ละก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น ตามคู่มือ เค้าบอกไว้ว่า หินบางก้อน เอามาจากวัดใกล้ๆ นั้น โดยอาจจะเป็นหินของหลุ่มศพบ้าง หินโลงศพบ้าง ระหว่างทางก็อย่าลืมดูพวกกระเบื้องที่ประดับอยู่บนหลังคาด้วย เพราะว่า จะมีลายประจำของโชกุนแต่ละคน ที่สร้างหรือปรับปรุงตัวปราสาท ที่ผ่านมา และที่ทำให้ทึ่งมากๆ ก็คือ กำแพงหินที่สร้างขึ้นแล้วสามารถตัดให้ได้ curve ที่สวยงามมาก เมื่อเราเดินเข้าใกล้ปราสาทเรื่อยๆ ก็จะมีห้องหับต่างๆ เช่นที่เก็บข้าวและเกลือเพื่อช่วงสงคราม ห้องยาม บ่อน้ำ ก่อนขึ้นตัวปราสาท ก็จะเจอกับลานอีกลาน จากลานนี้ก็สามารถมองวิวของเมือง Himeji ได้เช่นกัน ตรงลานก็มีห้องน้ำ ถ้าใครปวดก็สามารถเข้าก่อนได้
มาถึงตัวปราสาท ก่อนอื่น ก็ต้องถอดรองเท้า แล้วใส่ถุงหิ้วก่อน ตัวปราสาทมีทั้งหมด 6 ชั้น และ 1 ชั้นใต้ดิน ชั้นใต้ดิน ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นห้องครัว กับห้องเก็บของ ชั้นนี้มืดมากเลย พอขึ้นไปชั้นแรกก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ในตู้ เช่นภาพเขียน เศษกระเบื้อง ผังปราสาท ชั้น 2 เป็นชั้นที่เก็บอาวุธ ตัวโบราณวัตถุที่นำมาแสดง ก็จะเป็นพวกอาวุธโบราณ ชุดเกราะต่างๆ ชั้น 3 ก็จะโชว์พวกรูปถ่ายเก่าๆ ชั้น 4-5 ก็ไม่มีอะไรโชว์ ยิ่งเดินขึ้น พื้นที่ในตัวปราสาทก็จะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ จากชั้นแรกที่พื้นที่ใหญ่ ประมาณห้อง 4-5 ห้อง ก็จะลดเหลือเพียงห้อง ห้องเดียวเท่านั้น บนชั้นบนสุดนี้ เราก็จะสามารถชมวิว ของเมือง Himeji ได้รอบทิศ รวมถึงเป็นช่อฟ้าของปราสาทได้ด้วย (ไม่รู้ว่าเค้าเรียก ช่อฟ้า หรือป่าวนะ ไอ้ที่พูดถึงนี้ก็คือ รูปหล่อรูปปลาที่ระดับอยู่บนหลังคาของปราสาทนะ) นอกจากนี้ยังมีศาลอยู่บนนั้นให้ไหว้ด้วย แล้วอย่าลืมประทับตรา ว่าเราได้มายังปราสาทนี้แล้ว ที่ญี่ปุ่นตามสถานที่ต่างๆ จะมีตราให้เรา stamp ไว้เป็นที่ระลึก เพราะฉะนั้น อย่าลืมเตรียมสมุดไว้สะสมตราประทับพวกนี้ด้วย พอลงมาก่อนจะออก ก็จะพบกับโครงไม้จำลองของปราสาททำให้ไว้ดู ก็อย่าลืมดูกันด้วยละ
ออกจากตัวปราสาท ก็ยังไม่หมด เราสามารถเดินไป ชมตึกที่เรียกว่า Harakiri-maru ซึ่งก็คือ ที่เอาไว้ให้ซามุไรทำ Harakiri นั่นเอง (Harakiri คือการคว้านท้อง ฆ่าตัวตายของซามุไร) ส่วนอีกที่ ก็คือ บ่อน้ำของ Okiku บ่อนี้ก็มีเรื่องเล่ามาว่า ข้าทาสในปราสาทชื่อ Okiku ไปรู้ว่าหัวหน้าผู้ติดตามโชกุนคิดที่จะฆ่าโชกุนแล้ว ขึ้นครองบังลังค์แทน จึงทำการขัดขวางแผนการ ต่อมาหัวหน้าผู้ติดตามคนนี้ก็รู้ว่า Okiku นั้นเป็นต้นเหตุทำให้แผนการไม่สำเร็จ ก็เลยขโมยจาน (จานที่เป็นของล้ำค่า) 10 ใบไป แล้วใส่ความเธอ ทำให้เธอถูกทรมานจนตาย แล้วหัวหน้าผู้ติดตามนี้ก็โยนร่างเธอลงในบ่อนี้
ก่อนออกจากปราสาทก็มีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้ระบายเงินในกระเป๋าเป็นด่านสุดท้าย หมดแล้วกับปราสาท Himeji ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาท แล้วความสามารถในการสร้างปราสาทในสมัยก่อนได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหินที่ถูกขนมาสร้าง การตัดหินให้เรียบ โค้งสวย หรือไม้ท่อนใหญ่ๆ หลายร้อยต้นที่มาสร้างเป็นโครงของปราสาท แต่ไม่เข้าใจว่า สมัยก่อน โชกุนนี่อยู่ชั้นบนสุด แล้วจะเข้าห้องน้ำ หรือว่าอะไรพวกนี้ จะทำยังไง ต้องไต่ลงมาถึงข้างล่าง หรือป่าว มันก็ไม่ใช่เตี้ยๆ เลย
เสร็จจากปราสาท ประมาณเที่ยงได้ ก็รีบเดินกลับมายังสถานีรถไฟ Himeji เพื่อจะขึ้นรถ Hikari เช่นเคยเพื่อกลับไปยัง Osaka ด้วยความเร่งรีบ ก็ซื้อเป็นข้าวกล่องกินบนรถละกัน จาก Himeji ไป Osaka ก็แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง ใกล้มากเลย
คราวนี้รูปเยอะ เลยทำเป็น slide show เลยละกัน จริงๆ รูปมีเยอะกว่านี้ เช่นพวกรูปในปราสาท แต่เอาแค่นี้ก่อนละกัน ถ้าจะดูรูปใหญ่ก็กดไปที่รูปเลยนะ
อย่างที่บอกจากสถานีก็สามารถมองเห็นปราสาท Himeji ได้ เพราะฉะนั้น แผ่นที่อะไรก็ไม่จำเป็นแล้ว ก็แค่เดินๆ ตรงๆ ไปจากสถานีไปเรื่อยๆ ก็จะถึงปราสาทแล้ว ถนนที่จะนำไปยังปราสาท ก็เดินได้หลายสาย ซึ่งทั้งสองสายมันจะขนานกัน และใช้เวลาเท่ากัน สายแรก ก็จะเดินไปตามถนนใหญ่ ซ้ายและขวาก็จะเป็นวิวของเมือง ระหว่างทางก็จะมีพวกรูปปั้นต่างๆ แล้วก็ศูนย์ท่องเที่ยวของ Himeji ส่วนอีกสาย ก็จะเป็นถนนคนเดิน ข้างบนมีหลังคาบังแดด บังฝน สองข้างทางก็จะเป็นร้านขายของ ทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ มีหมด เดินไปได้ไม่ถึง 20 นาที ก็จะถึงปราสาท
สัมผัสแรก รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาท ภายนอกมีคลองกั้น เลยคลองก็จะเป็นกำแพงสูง ซึ่งเราสามารถเข้าไปได้โดยผ่านประตูไม้ขนาดใหญ่ พอผ่านประตูเข้าไป ก็จะเจอกับลานกว้าง ไม่รู้ว่าปกติจะมีหญ้าหรือป่าว พอดีไปช่วงหน้าหนาว เลยมีแต่ทราย จากมุมนี้ จะเห็นปราสาทเด่นอยู่ข้ามกลางฟ้าสีฟ้าใส เป็นภาพที่สวยจริงๆ มีคนญี่ปุ่นเยอะแยะกำลังถ่ายรูปที่มุมนี้อยู่เช่นกัน ที่ลานนี้ก็จะมีเด็กๆ วิ่งเล่นเต็มไปหมด จริงๆ ในบริเวณนี้ นอกจากตัวปราสาทซึ่งเป็น Hi-light ของเมืองแล้ว ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่นสวนสัตว์ Himeji ที่อยู่ข้างๆ ของปราสาทนี่เอง แต่คราวนี้ไม่ได้เข้านะ เดินเลาะลาน ไปยังปราสาท ก็เสียค่าเข้าชม 600 เยน พร้อมรับบัตรเข้าชม และแผ่นพับแนะนำปราสาท
สำหรับปราสาท Himeji นี้ก็ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992 และเป็นปราสาทเดียวที่ยังคงสภาพได้เหมือนแต่แรกที่สร้างมา (ตามที่เข้าใจนะ) จุดสนใจก็สำหรับปราสาท Himeji นั้นก็ไม่ได้มีแค่ตัวปราสาทเพียงอย่างเดียว รอบๆ ปราสาทก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วย แนะนำมาพอแล้ว ลองเข้าไปชมด้วยกันดีกว่า จากทางเข้า ก็จะเจอกับกำแพงชั้นแรก ผ่านกำแพงไป ก็จะพบกับสวน มีทางเลือกให้เราเลือกเดิน 2 แบบคือ ทางเดินปกติ คือ เดินทั่วๆ หรือว่าทางที่ลัดไปที่ปราสาททันที เราจะชมทั่วๆ งั้นก็ไปตามทางปกติดีกว่า จากสวน เราก็จะไปยังกำแพงชั้นนอกซึ่งจะเชื่อมกับห้องของเจ้าหญิง Sen ไปถึงก็ต้องถอดรองเท้าแล้วใส่ถุงหิ้ว เดิน บนระเบียงก็จะมีห้องหับต่างๆ และช่องที่เอาไว้ปล่อยหิน พอเดินไปสุดทางก็จะเจอกับห้องของเจ้าหญิง Sen
จากกำแพงชั้นนอก เดินเข้ามาผ่านกำแพงอีกชั้นนึง (ไม่รู้ว่า คือกำแพงชั้นในหรือป่าว) ก็จะเจอกับบันไดหิน ซึ่งหินแต่ละก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น ตามคู่มือ เค้าบอกไว้ว่า หินบางก้อน เอามาจากวัดใกล้ๆ นั้น โดยอาจจะเป็นหินของหลุ่มศพบ้าง หินโลงศพบ้าง ระหว่างทางก็อย่าลืมดูพวกกระเบื้องที่ประดับอยู่บนหลังคาด้วย เพราะว่า จะมีลายประจำของโชกุนแต่ละคน ที่สร้างหรือปรับปรุงตัวปราสาท ที่ผ่านมา และที่ทำให้ทึ่งมากๆ ก็คือ กำแพงหินที่สร้างขึ้นแล้วสามารถตัดให้ได้ curve ที่สวยงามมาก เมื่อเราเดินเข้าใกล้ปราสาทเรื่อยๆ ก็จะมีห้องหับต่างๆ เช่นที่เก็บข้าวและเกลือเพื่อช่วงสงคราม ห้องยาม บ่อน้ำ ก่อนขึ้นตัวปราสาท ก็จะเจอกับลานอีกลาน จากลานนี้ก็สามารถมองวิวของเมือง Himeji ได้เช่นกัน ตรงลานก็มีห้องน้ำ ถ้าใครปวดก็สามารถเข้าก่อนได้
มาถึงตัวปราสาท ก่อนอื่น ก็ต้องถอดรองเท้า แล้วใส่ถุงหิ้วก่อน ตัวปราสาทมีทั้งหมด 6 ชั้น และ 1 ชั้นใต้ดิน ชั้นใต้ดิน ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นห้องครัว กับห้องเก็บของ ชั้นนี้มืดมากเลย พอขึ้นไปชั้นแรกก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ในตู้ เช่นภาพเขียน เศษกระเบื้อง ผังปราสาท ชั้น 2 เป็นชั้นที่เก็บอาวุธ ตัวโบราณวัตถุที่นำมาแสดง ก็จะเป็นพวกอาวุธโบราณ ชุดเกราะต่างๆ ชั้น 3 ก็จะโชว์พวกรูปถ่ายเก่าๆ ชั้น 4-5 ก็ไม่มีอะไรโชว์ ยิ่งเดินขึ้น พื้นที่ในตัวปราสาทก็จะยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ จากชั้นแรกที่พื้นที่ใหญ่ ประมาณห้อง 4-5 ห้อง ก็จะลดเหลือเพียงห้อง ห้องเดียวเท่านั้น บนชั้นบนสุดนี้ เราก็จะสามารถชมวิว ของเมือง Himeji ได้รอบทิศ รวมถึงเป็นช่อฟ้าของปราสาทได้ด้วย (ไม่รู้ว่าเค้าเรียก ช่อฟ้า หรือป่าวนะ ไอ้ที่พูดถึงนี้ก็คือ รูปหล่อรูปปลาที่ระดับอยู่บนหลังคาของปราสาทนะ) นอกจากนี้ยังมีศาลอยู่บนนั้นให้ไหว้ด้วย แล้วอย่าลืมประทับตรา ว่าเราได้มายังปราสาทนี้แล้ว ที่ญี่ปุ่นตามสถานที่ต่างๆ จะมีตราให้เรา stamp ไว้เป็นที่ระลึก เพราะฉะนั้น อย่าลืมเตรียมสมุดไว้สะสมตราประทับพวกนี้ด้วย พอลงมาก่อนจะออก ก็จะพบกับโครงไม้จำลองของปราสาททำให้ไว้ดู ก็อย่าลืมดูกันด้วยละ
ออกจากตัวปราสาท ก็ยังไม่หมด เราสามารถเดินไป ชมตึกที่เรียกว่า Harakiri-maru ซึ่งก็คือ ที่เอาไว้ให้ซามุไรทำ Harakiri นั่นเอง (Harakiri คือการคว้านท้อง ฆ่าตัวตายของซามุไร) ส่วนอีกที่ ก็คือ บ่อน้ำของ Okiku บ่อนี้ก็มีเรื่องเล่ามาว่า ข้าทาสในปราสาทชื่อ Okiku ไปรู้ว่าหัวหน้าผู้ติดตามโชกุนคิดที่จะฆ่าโชกุนแล้ว ขึ้นครองบังลังค์แทน จึงทำการขัดขวางแผนการ ต่อมาหัวหน้าผู้ติดตามคนนี้ก็รู้ว่า Okiku นั้นเป็นต้นเหตุทำให้แผนการไม่สำเร็จ ก็เลยขโมยจาน (จานที่เป็นของล้ำค่า) 10 ใบไป แล้วใส่ความเธอ ทำให้เธอถูกทรมานจนตาย แล้วหัวหน้าผู้ติดตามนี้ก็โยนร่างเธอลงในบ่อนี้
ก่อนออกจากปราสาทก็มีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้ระบายเงินในกระเป๋าเป็นด่านสุดท้าย หมดแล้วกับปราสาท Himeji ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาท แล้วความสามารถในการสร้างปราสาทในสมัยก่อนได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหินที่ถูกขนมาสร้าง การตัดหินให้เรียบ โค้งสวย หรือไม้ท่อนใหญ่ๆ หลายร้อยต้นที่มาสร้างเป็นโครงของปราสาท แต่ไม่เข้าใจว่า สมัยก่อน โชกุนนี่อยู่ชั้นบนสุด แล้วจะเข้าห้องน้ำ หรือว่าอะไรพวกนี้ จะทำยังไง ต้องไต่ลงมาถึงข้างล่าง หรือป่าว มันก็ไม่ใช่เตี้ยๆ เลย
เสร็จจากปราสาท ประมาณเที่ยงได้ ก็รีบเดินกลับมายังสถานีรถไฟ Himeji เพื่อจะขึ้นรถ Hikari เช่นเคยเพื่อกลับไปยัง Osaka ด้วยความเร่งรีบ ก็ซื้อเป็นข้าวกล่องกินบนรถละกัน จาก Himeji ไป Osaka ก็แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง ใกล้มากเลย
คราวนี้รูปเยอะ เลยทำเป็น slide show เลยละกัน จริงๆ รูปมีเยอะกว่านี้ เช่นพวกรูปในปราสาท แต่เอาแค่นี้ก่อนละกัน ถ้าจะดูรูปใหญ่ก็กดไปที่รูปเลยนะ
วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551
Leaving Tokyo by Hikari
18 กุมภา

วันนี้จะออกนอก Tokyo แล้ว การเดินทางหลักก็จะใช้ JR Pass ที่ซื้อมาในการเดินทางไปยังเมืองต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางไปต่างเมืองก็คือ ตารางรถไฟ อันนี้สำคัญมาก มันจะช่วยให้การ plan เดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้น บางทีไม่ต้องมานั่งรอรถ ด้วยตัวบัตร JR Pass เองนี่ก็ใช้ได้กับรถไฟเกือบทุกประเภท ยกเว้นอันเดียวคือ Nozomi เพราะฉะนั้น ในการเดินทางแนะนำให้นั่ง Hikari อย่างเดียว เพราะว่าเป็นรถที่เร็วสุดเท่าที่ JR Pass ขึ้นได้ แต่ว่ามันจะไม่ผ่านทุกสถานี ก็ต้องดูดีๆ ก่อนที่จะขึ้นละกันว่าจุดหมายที่เราจะไปมันจอดด้วยหรือป่าว
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า จากเมื่อคืน plan ที่ห้องภูริไว้ว่า เราจะขึ้น Hikari รอบแรกสุดของวัน นั้นก็คือตอน 6:36 เพราะฉะนั้นเราควรจะไปถึงที่สถานี Tokyo ที่เป็นต้นสายก่อนเวลานั้น จากเว็ป http://grace.hyperdia.com/cgi-english/hyperWeb.cgi ที่เคยแนะนำไว้ตอนก่อนหน้านี้ คำนวณเวลาออกมาแล้ว ควรจะต้องตื่นประมาณ ก่อนตี 5 เพื่อจะไปถึงสถานี Tokyo ทันเวลา เพราะจากสถานี Komabatodaimae ที่บ้านภูริ ไปยังสถานี Tokyo ก็มากกว่า ครึ่งชั่วโมงได้แล้ว
เวลาจริงๆ ตื่นตอน ตี 4:50 กว่าๆ รีบตารีตาเหลือก ออกจากบ้านภูริ โดยปล่อยภูรินอน ไม่สนใจไว้ จาก Komabatodaimae ก็นั่งรถไฟ แต่อันนี้ไม่ใช่ของ JR เลยต้องใช้ PASMO จ่ายไปก่อน แต่จากสถานี Shibuya ไปถึงสถานี Tokyo นั้นเป็น JR แล้วก็เลยใช้ JR Pass วิธีการใช้ ก็แค่ ไปตรงประตูต้องที่มีพนักงานยืนอยู่ แล้วก็หยิบบัตร JR Pass ขึ้นมาแล้วโชว์ เค้าก็จะเปิดประตูให้ แค่นี้เท่านั้น ง่ายแสนง่าย แต่มันเซ็งอย่างนึงคือ บางทีจะชอบมีพวกคนญี่ปุ่น ไปถามอะไรพนักงาน แล้วทำให้เราต้องรถพวกนี้ให้เสร็จถึงจะเข้าไปได้ เพราะทางเข้ามันก็เข้าได้ทีละคน แล้วพวกนี้ถามบางที ไม่เข้าใจว่า งงอะไร ไม่เคยขึ้นรถไฟหรือยังไง ถามแล้วถามอีก ไม่ยอมเลิก ไอ้เราก็ต้องรีบเพื่อให้ทัน เดี๋ยวตกรถไฟ มันก็ถามอยู่นั้น ไม่เลิก อย่าจะเบียดแล้วโชว์บัตรแล้วไปๆ จะได้เสร็จ ต้องมานั่งรถพวกนี้ เซ็งจิต บ่นมามาย ตอนนี้ก็ไปถึงสถานี Tokyo แล้วตามที่ plan เอาไว้ ไปถึงก็รีบไปหาซื้อข้าวกล่องมา เพื่อกินบนรถไฟ ก็ได้ข้าวกล่องมากล่องนึง ข้างในก็มีของหลายอย่าง รถที่เราจะไป ก็คือ Hikari 361 ก็ดูป้ายไฟ ว่าต้องไปขึ้นที่ Platform ไหน แต่ไม่ใช่แค่นั้น เนื่องจากเรายังไม่ได้จองที่นั่ง ต้องดูด้วยว่า รถคันไหนที่เป็น non-reserve ที่ป้ายไฟก็จะมีบอกหมด
สำหรับรถไฟความเร็วสูงอย่าง Shinkansen นี้รถแต่ละคัน จะมีแบบสูบบุหรี่ กับปลอดบุหรี่ ก็เลือกให้ถูกละกัน
ว่าจะขึ้นคันไหน แต่มี trick นิดนึงก็คือ ควรจะนั่งห่างจากคันที่สูบบุหรี่สัก 2 คันจะดีกว่า เพราะว่าเคยนั่งคันที่ติดกับคันที่สูบบุหรี่ ก็รู้สึกว่ายังมีกลิ่นลอยมาถึงเลย บนรถไฟที่นั่งก็จะเหมือนกับบนเครื่องบิน มีลิ้นชักให้เราดึงออกมาเป็นที่วางอาหารได้ ข้างบนหัวก็มีตู้ให้ใส่กระเป๋าได้ แต่ว่าพื้นที่วางขาข้างหน้านะ จะกว้างกว่าของเครื่องบินมากมาย ระหว่างนั่งก็มีพนักงานเข็นรถ ขายข้าวกล่องกับน้ำมาเรื่อยๆ หรือถ้าไม่อยากรอพนักงาน ก็เดินไปกดน้ำจากตู้ก็ได้ เค้าก็มี สะดวกดี พอนั่งเสร็จ ก็โซ้ยข้าวกล่องที่ซื้อจากสถานี Tokyo ทันที เปิดมาก็พบกับอาหารที่อัดแน่นในกล่อง และเย็นชืด รสชาติก็ไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้อร่อยมากมาย
จาก Tokyo เลือกนั่งทางด้านขวา เพื่อที่จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น จากตอนแรกที่ออกมาฟ้ายังมืดอยู่ ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว แค่นั่งไปได้สักพัก เราก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ มาแต่ไกล ยิ่งใหญ่สมชื่อที่ได้ยินมา ช่วงนี้เป็นหน้าหนาวพอดี ก็จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่มีหิมะ คลุมอยู่ข้างบน เป็นภาพที่คุ้นตาตามหนังสือต่างๆ มากมาย แต่ถ้าใครอยากไปดูแบบใกล้ๆ สวยๆ แนะนำให้ไปดูที่ทะเลสาปทั้งห้า เป็นจุดชมภูเขาไฟฟูจิ ที่ขึ้นชื่อที่สุดของญี่ปุ่น จากที่นั้นเราก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ สะท้อนกับผื่นน้ำทะเลสาป สวยงามเหมือนในหนังสือ และ postcard ต่างๆ การเดินทางก็แค่นั่งรถไฟจาก Tokyo นี่แหละง่ายๆ แต่ใน trip นี้ไม่ได้ไปนะ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ดูจากบนรถไฟนี่ก็คงพอแล้วแหละ ได้รูปสวยๆ มาเพียบเลย กว่าจะถึง Himeji ก็อีกนาน งั้นนอนเอาแรงก่อนดีกว่า





credit picture from www.darkroastedblend.com

วันนี้จะออกนอก Tokyo แล้ว การเดินทางหลักก็จะใช้ JR Pass ที่ซื้อมาในการเดินทางไปยังเมืองต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางไปต่างเมืองก็คือ ตารางรถไฟ อันนี้สำคัญมาก มันจะช่วยให้การ plan เดินทางได้ง่ายยิ่งขึ้น บางทีไม่ต้องมานั่งรอรถ ด้วยตัวบัตร JR Pass เองนี่ก็ใช้ได้กับรถไฟเกือบทุกประเภท ยกเว้นอันเดียวคือ Nozomi เพราะฉะนั้น ในการเดินทางแนะนำให้นั่ง Hikari อย่างเดียว เพราะว่าเป็นรถที่เร็วสุดเท่าที่ JR Pass ขึ้นได้ แต่ว่ามันจะไม่ผ่านทุกสถานี ก็ต้องดูดีๆ ก่อนที่จะขึ้นละกันว่าจุดหมายที่เราจะไปมันจอดด้วยหรือป่าว
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า จากเมื่อคืน plan ที่ห้องภูริไว้ว่า เราจะขึ้น Hikari รอบแรกสุดของวัน นั้นก็คือตอน 6:36 เพราะฉะนั้นเราควรจะไปถึงที่สถานี Tokyo ที่เป็นต้นสายก่อนเวลานั้น จากเว็ป http://grace.hyperdia.com/cgi-english/hyperWeb.cgi ที่เคยแนะนำไว้ตอนก่อนหน้านี้ คำนวณเวลาออกมาแล้ว ควรจะต้องตื่นประมาณ ก่อนตี 5 เพื่อจะไปถึงสถานี Tokyo ทันเวลา เพราะจากสถานี Komabatodaimae ที่บ้านภูริ ไปยังสถานี Tokyo ก็มากกว่า ครึ่งชั่วโมงได้แล้ว
เวลาจริงๆ ตื่นตอน ตี 4:50 กว่าๆ รีบตารีตาเหลือก ออกจากบ้านภูริ โดยปล่อยภูรินอน ไม่สนใจไว้ จาก Komabatodaimae ก็นั่งรถไฟ แต่อันนี้ไม่ใช่ของ JR เลยต้องใช้ PASMO จ่ายไปก่อน แต่จากสถานี Shibuya ไปถึงสถานี Tokyo นั้นเป็น JR แล้วก็เลยใช้ JR Pass วิธีการใช้ ก็แค่ ไปตรงประตูต้องที่มีพนักงานยืนอยู่ แล้วก็หยิบบัตร JR Pass ขึ้นมาแล้วโชว์ เค้าก็จะเปิดประตูให้ แค่นี้เท่านั้น ง่ายแสนง่าย แต่มันเซ็งอย่างนึงคือ บางทีจะชอบมีพวกคนญี่ปุ่น ไปถามอะไรพนักงาน แล้วทำให้เราต้องรถพวกนี้ให้เสร็จถึงจะเข้าไปได้ เพราะทางเข้ามันก็เข้าได้ทีละคน แล้วพวกนี้ถามบางที ไม่เข้าใจว่า งงอะไร ไม่เคยขึ้นรถไฟหรือยังไง ถามแล้วถามอีก ไม่ยอมเลิก ไอ้เราก็ต้องรีบเพื่อให้ทัน เดี๋ยวตกรถไฟ มันก็ถามอยู่นั้น ไม่เลิก อย่าจะเบียดแล้วโชว์บัตรแล้วไปๆ จะได้เสร็จ ต้องมานั่งรถพวกนี้ เซ็งจิต บ่นมามาย ตอนนี้ก็ไปถึงสถานี Tokyo แล้วตามที่ plan เอาไว้ ไปถึงก็รีบไปหาซื้อข้าวกล่องมา เพื่อกินบนรถไฟ ก็ได้ข้าวกล่องมากล่องนึง ข้างในก็มีของหลายอย่าง รถที่เราจะไป ก็คือ Hikari 361 ก็ดูป้ายไฟ ว่าต้องไปขึ้นที่ Platform ไหน แต่ไม่ใช่แค่นั้น เนื่องจากเรายังไม่ได้จองที่นั่ง ต้องดูด้วยว่า รถคันไหนที่เป็น non-reserve ที่ป้ายไฟก็จะมีบอกหมด
สำหรับรถไฟความเร็วสูงอย่าง Shinkansen นี้รถแต่ละคัน จะมีแบบสูบบุหรี่ กับปลอดบุหรี่ ก็เลือกให้ถูกละกัน

จาก Tokyo เลือกนั่งทางด้านขวา เพื่อที่จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น จากตอนแรกที่ออกมาฟ้ายังมืดอยู่ ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว แค่นั่งไปได้สักพัก เราก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ มาแต่ไกล ยิ่งใหญ่สมชื่อที่ได้ยินมา ช่วงนี้เป็นหน้าหนาวพอดี ก็จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่มีหิมะ คลุมอยู่ข้างบน เป็นภาพที่คุ้นตาตามหนังสือต่างๆ มากมาย แต่ถ้าใครอยากไปดูแบบใกล้ๆ สวยๆ แนะนำให้ไปดูที่ทะเลสาปทั้งห้า เป็นจุดชมภูเขาไฟฟูจิ ที่ขึ้นชื่อที่สุดของญี่ปุ่น จากที่นั้นเราก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ สะท้อนกับผื่นน้ำทะเลสาป สวยงามเหมือนในหนังสือ และ postcard ต่างๆ การเดินทางก็แค่นั่งรถไฟจาก Tokyo นี่แหละง่ายๆ แต่ใน trip นี้ไม่ได้ไปนะ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ดูจากบนรถไฟนี่ก็คงพอแล้วแหละ ได้รูปสวยๆ มาเพียบเลย กว่าจะถึง Himeji ก็อีกนาน งั้นนอนเอาแรงก่อนดีกว่า





credit picture from www.darkroastedblend.com
วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551
I love Harajuku
พูดถึง Harajuku ทุกคนคงจะนึกถึงภาพที่วัยรุ่นญี่ปุ่นแต่งตัวกัน fancy ออกมาอวด โชว์กันเต็มไปหมด วันนี้จะได้เห็นแล้วแหละว่า มันเป็นยังไง ตอนเช้าที่กินข้าวที่ First Kitchen แล้ว แค่นั้นมันคงจะเป็นการเรียกน้ำย่อย ต่อไปจะเป็นของจริงแหละ เดี๋ยวจะได้เห็นกัน
จาก Shinjuku ที่ซึ่งไม่มีอะไร จึงตัดสินใจกับพี่ต้าว่า ไป Harajuku กันดีกว่า น่าจะมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ จริงๆ Shinjuku กับ Harajuku ใกล้กันมาก จะเดินไปก็ได้ แต่ด้วยความขี้เกียจเลยนั่ง JR ไปก็แล้วกัน ไปถึงออกจากสถานีก็เจอถนน Takeshita พอดี คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกก มองไปมีแต่คน ถนนสายนี้ จริงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นถนน ดูเหมือนซอยมากกว่า ที่เค้าปิดให้คนเดิน 2 ข้างทาง ก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้า ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้หญิง ส่วนใหญ่ของกับร้านจะดูจัดแบบไม่ค่อยหรูหรา ดูเหมือนร้านในมาบุญครองมากกว่า พวกเสื้อผ้าราคาก็ไม่แพงมาก สำหรับถนนนี้ นอกจากร้านเสื้อผ้า ก็มีร้าน ไดโซะ ร้านขายของ 100 เยนที่มาเปิดสาขาในไทย แต่ที่ไม่ควรพลาดก็คือ เครป มาถึง Harajuku แล้วถ้าไม่กินต้นตำรับ ก็ยังไงอยู่ เครปที่นี่ มีหลายร้านมาก แต่ละร้านก็มีคนต่อแถวหมดทุกร้าน แต่
ร้านที่พี่ต้าพาไป คือ Angels Heart ถ้าไม่ผิด จะเป็นร้านเครปร้านแรก (มั้งนะ) menu เค้าก็มีให้เลือกหลายอย่างมาก แต่ละอย่างก็ใส่ไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็น เค้กทั้งชิ้น หรือว่าผลไม้ต่างๆ วิปครีม แล้วห่อมาให้เรากิน ที่สั่งก็คือ Mixed Berries Mille-feuille-crepe ส่วนประกอบมีพวก berry ต่างๆ ใส่กับแป้งพาย แล้วก็ custard cream ห่อรวมกันในแป้งเครป ส่วนพี่ต้าเป็น Caramel Chesse Cake ไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว ดูน่ากินเหมือนกัน สนวนราคาก็ชิ้นละ 400-500 เยน โดยประมาณ กินเข้าไปแป้งเครปแผ่นบางมาก กัดเข้าไปเหมือนจะละลายในปาก ส่วนพวกลูก berry ต่างๆ ก็หวาน สด อร่อยมากๆ เลย ระหว่างทางเจอร้านขายรองเท้าร้านนึง ปรากฏว่ามีคู่ที่เมื่อวานซื้อไปด้วย ถูกกว่าตั้ง 1,000 เยน เซ็งเลย แต่ซื้อมาแล้วนี่จะให้ทำยังไง
เดินจนสุดถนน Takeshita ข้ามไปอีกฝั่งนึง มีป้ายเขียนว่า Harajuku St. ร้านบนถนนฝั่งนี้ดูไฮโซขึ้น เช่นเดียวกับราคาก็เพิ่มขึ้นตามความไฮโซ คนก็ลดน้อยลง ร้านเสื้อผ้าผู้ชายจะมีมากขึ้น มีร้านที่แต่งสวยๆ หลาย
ร้านเลย เดินไปเรื่อยๆ พร้อมดูของไปด้วย แต่ซื้อไม่ลง แถมบางอย่างเอามาใส่ไทยไม่ได้ เดินไปเดินมา ไปทะลุที่ถนน Omotesando ถนนที่เต็มไปด้วยร้าน brandname ชื่อดัง แต่ละตึกจะได้รับการออกแบบมาจากนักออกแบบชื่อดังระดับโลก แต่เนื่องจากความเหนื่อย เลยไม่ได้เดินลึกลงไป มารู้ตอนหลังว่า ถ้าเดินลงไปจะเจอกับตึกของ Prada ที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่ "In" มากตึกหนึ่งในญี่ปุ่น เป็นอะไรที่ควรไปดูมาก น่าเสียดาย (เอารูปจากเว็ปอื่นมาให้ดูเผื่อใครสนใจจะได้ไปดู) สำหรับร้านที่ชอบมากบนถนนนี้ ก็คือ ร้าน UT เป็นร้านขายเสื้อยืดของ Uniquo นี่แหละ แต่ว่า In เอามากๆ ตัวร้านมี concept เหมือนเราไปเดินใน supermarket โดยจะเอาเสื้อมาใส่กระป๋องพลาสติกใส
ๆ เรียงๆ ไว้ อยากรู้ลายก็หยิบกระป๋องขึ้นมาดูจะมีรูปอยู่ อยากได้ size ไหนก็หยิบไปใส่ตะกร้าแบบใน super ราคาก็เท่ากันทั้งร้าน คือ 1,500 เยนทุกตัว (เฉพาะเสื้อยืดนะ) นอกจากเสื้อยืดก็มีพวกกางเกงยีนส์ แบบเดียวกับที่ร้าน Uniquo ราคาก็รู้สึกจะเท่ากัน เป็นร้านที่ชอบมากเลย ไม่ว่าจะเป็น concept หรือว่า packaging ต่างๆ ทำได้ดีจริงๆ ถ้าใครอยากเข้าไปดูแบบเสื้อก็ลองเข้าไปที่เว็ปนี้ http://ut.uniqlo.com/ จะบอกว่าพวกเสื้อยืดตามจตุจักรที่ไทย บางส่วนก็ก็อปลาย จาก UT นี่ไปทำแหละ เพราะฉะนั้นก็ดูดีๆ ละกันเวลาซื้อ ไม่เช่นนั้น ซื้อใส่ไป 2 วันอาจจะเห็นวางขายที่จัตุจักรตัวละ 100 ก็เป็นไปได้
เดินแถว Harajuku จนเพลินกับการ shopping แต่ไงได้เสื้อมาตัวเดียว ส่วนพี่ต้าไม่ได้อะไรเลย ก็เพิ่งนึกกันได้ว่า เรายังไม่เห็นพวกคนที่แต่งตัวแรงๆ เลยนี่หน่า มันหายไปไหนกันหมดเนี่ย หรือว่าหนาวเลยไม่แต่งออกมาเนี่ย เลยทำให้รู้สึกยังมาไม่ถึง Harajuku จริงๆ ไม่เป็นไร ยังมีอาทิตย์หน้าเหลืออีก ไว้ลองมาใหม่ละกัน ตอนนี้ก็ 6 โมงแล้วต้องรีบไปหาภูริแล้ว นี่ก็นัดไว้ 6 โมงที่ Starbuck Shibuya เหมือนเดิม นั่งรถ JR 1 สถานีก็ถึง ไปถึงภูริก็ไม่อยู่ เลยไปหาโทรศัพท์โทรหา ก็เดินไปที่ Seibu ข้างๆ กับ Starbuck ลงไปชั้นใต้ดินไปโทรศัพท์ ก็กด เอ๊ะ ทำไมสายไม่ว่าง ลองกดใหม่ ก็ยังไม่ว่าง ไม่เป็นไร สงสัยภูริคุยไรอยู่ ก็เดินกลับไป Starbuck ใหม่ ทำแบบนี้ได้ประมาณ 3 รอบ ก็รู้สึกแปลก ไม่น่าจะคุยไรนานขนาดนี้ โทรศัพท์มันเสียหรือป่าวเนี่ย ลองไปหาเครื่องใหม่ดีกว่า เดินข้างไปอีกตึกข้างๆ Loft ไม่รู้ชื่ออะไร โทรไปภูริโกรธอีกแล้ว เนื่องจากเราสายกัน ก็โทรศัพท์มันเสียอะ ไม่งั้นเจอกันไปตั้งแต่ ครึ่งชั่วโมงที่แล้วนะ ก็ตกลงว่าจะเจอกันที่ Loft ละกัน ตอนแรกบอกว่าจะเจอที่ Tokyo Hand แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ก็เลยเอา Loft พอเจอกันก็ไปหาไรกิน
มื้อเย็นนี้ก็ไปกินร้านข้าวหมูทอดราคาไม่แพง เป็นร้านธรรมดาๆ ก็เป็นหยอดเหรียญ ก็สั่งเป็นข้าวหมูทอดราดแกงกะหรี่ รูปร่างหน้าตาเหมือนที่ไทยนี่แหละ แต่มันต่างกันที่พอกินเข้าไป เนื้อมันกรอบนอก แล้วข้างในมันนุ่มเอามากๆ เลย ไม่เคยกินหมูทอดที่ไหนอร่อยเท่านี้ แล้วชิ้นก็ไม่ใช่เล็กๆ เหมือนที่ไทย ชิ้นใหญ่มาก มื้อนั้นอิ่มสุดๆ กินเสร็จก็ไป BIC Camera เพื่อไปซื้อ card reader เพราะว่า เครื่องภูริ ถ้าเสียบจากกล้องก็จะไม่เห็น ไม่รู้ทำไม ซื้อ card reader เสร็จก็พาพี่ต้าไปซื้อพวกเค้กเป็นของฝากที่ใต้ Tokyu ของเยอะมากเลย สามารถซื้อของฝากได้ที่นี่ มีของจากที่ต่างๆ มารวมอยู่ที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นขนมญี่ปุ่น หรือพวกเค้กฝรั่ง มีหมด ของคาว ของหวาน พี่ต้า ก็ได้เค้กไปตามที่อยากได้ เนื่องจาก วันนี้ตั้งใจว่าจะกินซูชิให้ได้ ก็เลยซื้อซูชิแบบที่เค้าทำไว้แล้ว ไปกินถาดนึง นี่ขนาดอิ่มๆ นะเนี่ย กลับไปกินรสชาติก็ธรรมดา ภูริบอกว่าพวกนี้มันไม่อร่อยหรอก ต้องไปกินที่ร้าน
และแล้ววันนี้ก็จบลง พรุ่งนี้จะออกไปนอก Tokyo แล้ว แต่ยังเหลืออีกหลายที่ใน Tokyo ที่ยังเที่ยวไม่หมดเลย ไม่ว่าจะเป็น Asakusa, Ueno, Ikebukuro, Akihabara หรือว่า Odaiba เอาไว้มาเก็บตกวันที่เหลือละกัน วันนี้ไม่ค่อยมีรูปเท่าไหร่ เพราะว่ามัวแต่สนุกสนานกับการดูของ











credit picture from http://www.murayama.co.jp/service/architecture/uniqlo.html and http://www.galinsky.com/
จาก Shinjuku ที่ซึ่งไม่มีอะไร จึงตัดสินใจกับพี่ต้าว่า ไป Harajuku กันดีกว่า น่าจะมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ จริงๆ Shinjuku กับ Harajuku ใกล้กันมาก จะเดินไปก็ได้ แต่ด้วยความขี้เกียจเลยนั่ง JR ไปก็แล้วกัน ไปถึงออกจากสถานีก็เจอถนน Takeshita พอดี คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกก มองไปมีแต่คน ถนนสายนี้ จริงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นถนน ดูเหมือนซอยมากกว่า ที่เค้าปิดให้คนเดิน 2 ข้างทาง ก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้า ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้หญิง ส่วนใหญ่ของกับร้านจะดูจัดแบบไม่ค่อยหรูหรา ดูเหมือนร้านในมาบุญครองมากกว่า พวกเสื้อผ้าราคาก็ไม่แพงมาก สำหรับถนนนี้ นอกจากร้านเสื้อผ้า ก็มีร้าน ไดโซะ ร้านขายของ 100 เยนที่มาเปิดสาขาในไทย แต่ที่ไม่ควรพลาดก็คือ เครป มาถึง Harajuku แล้วถ้าไม่กินต้นตำรับ ก็ยังไงอยู่ เครปที่นี่ มีหลายร้านมาก แต่ละร้านก็มีคนต่อแถวหมดทุกร้าน แต่

เดินจนสุดถนน Takeshita ข้ามไปอีกฝั่งนึง มีป้ายเขียนว่า Harajuku St. ร้านบนถนนฝั่งนี้ดูไฮโซขึ้น เช่นเดียวกับราคาก็เพิ่มขึ้นตามความไฮโซ คนก็ลดน้อยลง ร้านเสื้อผ้าผู้ชายจะมีมากขึ้น มีร้านที่แต่งสวยๆ หลาย


เดินแถว Harajuku จนเพลินกับการ shopping แต่ไงได้เสื้อมาตัวเดียว ส่วนพี่ต้าไม่ได้อะไรเลย ก็เพิ่งนึกกันได้ว่า เรายังไม่เห็นพวกคนที่แต่งตัวแรงๆ เลยนี่หน่า มันหายไปไหนกันหมดเนี่ย หรือว่าหนาวเลยไม่แต่งออกมาเนี่ย เลยทำให้รู้สึกยังมาไม่ถึง Harajuku จริงๆ ไม่เป็นไร ยังมีอาทิตย์หน้าเหลืออีก ไว้ลองมาใหม่ละกัน ตอนนี้ก็ 6 โมงแล้วต้องรีบไปหาภูริแล้ว นี่ก็นัดไว้ 6 โมงที่ Starbuck Shibuya เหมือนเดิม นั่งรถ JR 1 สถานีก็ถึง ไปถึงภูริก็ไม่อยู่ เลยไปหาโทรศัพท์โทรหา ก็เดินไปที่ Seibu ข้างๆ กับ Starbuck ลงไปชั้นใต้ดินไปโทรศัพท์ ก็กด เอ๊ะ ทำไมสายไม่ว่าง ลองกดใหม่ ก็ยังไม่ว่าง ไม่เป็นไร สงสัยภูริคุยไรอยู่ ก็เดินกลับไป Starbuck ใหม่ ทำแบบนี้ได้ประมาณ 3 รอบ ก็รู้สึกแปลก ไม่น่าจะคุยไรนานขนาดนี้ โทรศัพท์มันเสียหรือป่าวเนี่ย ลองไปหาเครื่องใหม่ดีกว่า เดินข้างไปอีกตึกข้างๆ Loft ไม่รู้ชื่ออะไร โทรไปภูริโกรธอีกแล้ว เนื่องจากเราสายกัน ก็โทรศัพท์มันเสียอะ ไม่งั้นเจอกันไปตั้งแต่ ครึ่งชั่วโมงที่แล้วนะ ก็ตกลงว่าจะเจอกันที่ Loft ละกัน ตอนแรกบอกว่าจะเจอที่ Tokyo Hand แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ก็เลยเอา Loft พอเจอกันก็ไปหาไรกิน
มื้อเย็นนี้ก็ไปกินร้านข้าวหมูทอดราคาไม่แพง เป็นร้านธรรมดาๆ ก็เป็นหยอดเหรียญ ก็สั่งเป็นข้าวหมูทอดราดแกงกะหรี่ รูปร่างหน้าตาเหมือนที่ไทยนี่แหละ แต่มันต่างกันที่พอกินเข้าไป เนื้อมันกรอบนอก แล้วข้างในมันนุ่มเอามากๆ เลย ไม่เคยกินหมูทอดที่ไหนอร่อยเท่านี้ แล้วชิ้นก็ไม่ใช่เล็กๆ เหมือนที่ไทย ชิ้นใหญ่มาก มื้อนั้นอิ่มสุดๆ กินเสร็จก็ไป BIC Camera เพื่อไปซื้อ card reader เพราะว่า เครื่องภูริ ถ้าเสียบจากกล้องก็จะไม่เห็น ไม่รู้ทำไม ซื้อ card reader เสร็จก็พาพี่ต้าไปซื้อพวกเค้กเป็นของฝากที่ใต้ Tokyu ของเยอะมากเลย สามารถซื้อของฝากได้ที่นี่ มีของจากที่ต่างๆ มารวมอยู่ที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นขนมญี่ปุ่น หรือพวกเค้กฝรั่ง มีหมด ของคาว ของหวาน พี่ต้า ก็ได้เค้กไปตามที่อยากได้ เนื่องจาก วันนี้ตั้งใจว่าจะกินซูชิให้ได้ ก็เลยซื้อซูชิแบบที่เค้าทำไว้แล้ว ไปกินถาดนึง นี่ขนาดอิ่มๆ นะเนี่ย กลับไปกินรสชาติก็ธรรมดา ภูริบอกว่าพวกนี้มันไม่อร่อยหรอก ต้องไปกินที่ร้าน
และแล้ววันนี้ก็จบลง พรุ่งนี้จะออกไปนอก Tokyo แล้ว แต่ยังเหลืออีกหลายที่ใน Tokyo ที่ยังเที่ยวไม่หมดเลย ไม่ว่าจะเป็น Asakusa, Ueno, Ikebukuro, Akihabara หรือว่า Odaiba เอาไว้มาเก็บตกวันที่เหลือละกัน วันนี้ไม่ค่อยมีรูปเท่าไหร่ เพราะว่ามัวแต่สนุกสนานกับการดูของ











credit picture from http://www.murayama.co.jp/service/architecture/uniqlo.html and http://www.galinsky.com/
วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551
Shinjuku มันมีไรเนี่ยที่นี้
17 กุมภา
เมื่อวันแรกที่มา ภูริบอกว่า มีข่าวที่ไม่ดีออกมา นั่นก็คือ มีข่าวขู่วางระเบิดที่สถานีรถไฟใต้ดิน ในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งก็คือวันนี้นั่นเอง ภูริก็บอกว่าระวังเอาไว้ดีๆ หน่อยละกัน อย่าพยายามนั่งรถ Metro แต่ JR ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยก็ระวังหน่อย ก็เอาเหอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มาถึงญี่ปุ่นแล้วจะให้นั่งอยู่กับห้อง กลัวระเบิดไม่ไปไหน ก็คงไม่ได้นะ เพราะฉะนั้น ช่างมัน กูจะเที่ยว ถ้าระเบิดก็ถือว่าซวยไป หวังว่า ที่บ้านคงจะได้รับเงินประกันนะ ไม่สนละออกเดินทางเลยละกัน
วันนี้นัดกับพี่ต้าเอาไว้ว่าจะไปเดิน Shinjuku กับ Harajuku กัน สำหรับใครที่ไม่รู้จักพี่ต้า พี่ต้าเป็นแอร์ แต่ไม่เหมือนริน ในสงครามนางฟ้านะ พอดีพี่ต้ามีวันว่างที่ตรงกันพอดีที่ญี่ปุ่น เลยนัดกันได้ อะไรจะพอดีได้ขนาดนี้ แต่วันนี้ภูริไม่ว่างช่วงบ่าย ต้องไปทำธุระอะไรสักอย่าง นัดกับพี่ต้าไว้ประมาณ 11 โมงที่หน้าร้าน Kinokuniya ที่ Shinjuku ตอนแรกกะจะตื่นสัก 9 โมง แล้วไปกินซูชิร้านอร่อยและคุ้มแถว Shibuya ที่ภูริแนะนำ แต่เอาเข้าจริงๆ ตื่นไม่ไหว 9 โมงครึ่งกว่าจะลุกจากเตียงได้ ไปถึงร้าน ร้านก็ดันยังไม่เปิด ร้านเปิด 11 โมงแหนะ ไม่ไหวสายเกินไป เลยไปกินร้านอื่น เดินไปเดินมาแถว Shibuya สรุปก็ไปกินร้าน First Kitchen เป็นร้าน fastfood ของญี่ปุ่น แบบเดียวกับ Mc หรือว่า KFC
ร้าน First Kitchen ก็จะมีพวก burger ต่างๆ ไรพวกนี้ เมนูที่เลือกกินก็เป็น burger ใส่ไข่กับเบคอน กับ french fried ส่วน french fried ก็มีรสให้เลือกมากมาย ตอนแรกก็สั่ง เหมือนเดิม ใช้วิธีชี้ แต่ว่าขอแนะนำเป็น trick นิดนึง ทุกร้านที่เป็น fastfood ของญี่ปุ่น คำถามแรกที่เค้าจะถามก็คือ จะกินที่นี้ หรือป่าว ไม่ใช่ไปถึงก็สั่งๆ แบบที่บ้านเรา แล้วคำถามนี้เป็นคำถามสุดท้าย มันไม่ใช่นะ ถ้าไปถึงชี้ เค้าจะทำท่างงๆ เล็กน้อย แล้วใส่ภาษาญี่ปุ่นกลับมา ถ้าเรายังคง งง ชี้แต่อาหารมาอีก เค้าก็จะถามสั้นเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นว่า Here? เราก็จะ อ่อ แล้วก็พยักหน้า แล้วชี้ที่พื้น แล้วพูดว่า Yes กลับมาที่ french fried เค้าก็จะมีให้เลือกหลายรส เช่น ชีส แล้วก็รสแปลกๆ ของญี่ปุ่นเค้านะ จำไม่ได้แล้ว ก็ basic สุดก็เนี่ยแหละ cheese ตามปกติ เค้าจะให้ซองมาซองนึงเป็นผงชีสแล้วให้เรามาใส่ใน french fried แล้ว shake ผสมกันเอง แต่พนักงานคงเห็นว่า ตานี่ แม่งไม่รู้เรื่องแน่ ก็เลยไปเขย่ามาให้ เสร็จพร้อมกิน ส่วนเครื่องดื่ม ตอนแรกไม่รู้จะกินไร ก็บอกว่า lemon tea เจ๊แกคงเข้าใจบ้านนอกเข้ากรุง หยิบเอา iced tea ธรรมดามา แล้วเราจะต้องเอาน้ำมะนาว กับน้ำเชื่อมมาใส่เอง แต่ตอนแรกไม่รู้หรอกนะว่ามันต้องใส่เอง แต่เห็นข้างๆ มีไรวางไว้ ก็เลยหยิบมาดู โชคดีที่หยิบมาไม่งั้นก็ต้องเดินไปเอามาอีก รสชาติอาหารมื้อนี้ก็โอเค ตามแบบฉบับ fastfood ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่าที่พิเศษก็คือ เจอสาว 2 คน คนนึงกำลังแต่งหน้า แบบที่ Harajuku นะ (เรียกไม่ถูกว่า แต่งแบบไหน) ส่วนอีกคนนึงกำลังหลับ เอาแรง ภูริบอกว่า ปกติเสาร์หรืออาทิตย์ ตามร้าน fastfood จะเห็นพวกเด็กผู้หญิงมานั่งแต่งตัว หรือนอนพักก่อนที่จะไปโชว์ตัว ที่เค้าต้องมาแต่งตามร้านนี่ ก็เพราะบางคนก็แอบที่บ้านมาแต่ง ก็คงคล้ายๆ กับคนไทยแหละ แต่คนไทยไม่แต่งเท่าเค้าแค่นั้นเอง กินเสร็จ ก็แยกกับภูริ เพื่อไปหาพี่ต้า
จาก Shibuya นั่งรถไฟ JR ไม่กี่สถานีก็ถึงสถานี Shinjuku ออกจากสถานี เจอแผ่นที่ใบใหญ่ เมื่อวานภูริบอกว่า Kino มันอยู่ตรง Takashimaya ก็มองหาในแผ่นที่ นั่นไง ไกลเชียว ก็เดินๆ ไปถึง ก็ลองเดินหา ไม่น่าจะหายาก เพราะปกติ Takashimaya ที่เคยไปที่ประเทศอื่น มันจะมี plaza อยู่ข้างนอกแล้วก็ร้าน Kino ก็ต้องอยู่ตรงนั้น ง่ายมาก ถึงเวลาก็เดิน เอ๊ะ ทำไมไม่มี plaza ออกไป สุดตึกก็เป็น Tokyo Hands (ร้านขายของแนวเครื่องเขียนและสำนักงานขนาดใหญ่) เดินไปข้างหน้า มีผังของร้าน ก็ดูๆๆ นั่นไง Kinokuniya อยู่ชั้นล่างสุด ลงไป เอ๊ะ มันเป็น super นี่หน่า เดินวน 1 รอบ เอ๊ะ อยู่ไหน ไม่เห็นมี ลองไปหาผังชั้น ก็มีนี่ เขียนว่า Kinokuniya อยู่ตรงนั้น ก็เดินไปตามที่ผังมันเขียน ไปถึงเป็นมุมขายเนื้อ (kuni = เนื้อ)(มารู้ทีหลังว่า Kino นะมันแยกออกอีกตึกนึง แต่อยู่ใกล้ๆ กับ Takashimaya) เฮ้ยอะไรเนี่ย ตอนนี้เวลาก็เกือบเที่ยงแล้ว ทำไมดี สงสัยต้องโทรศัพท์แล้ว เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีโทรศัพท์ เลยนัดกับพี่ต้าว่า ถ้าไม่เจออะไรกันให้โทรไปหาภูริ ก็เลยไปหาโทรศัพท์ นั่นไงเจอละ ไปถึง อ้าวให้ได้แต่การ์ด แม่งอะไรเนี่ย คิดไปคิดมา สถานีรถไฟมันต้องมีโทรศัพท์แน่ๆ เดินกลับไปสถานีอีก กว่าจะเจอโทรศัพท์ ก็ล่อไป 10 นาที โทรไปหาภูริ ได้ความว่า พี่ต้าจะรอที่ร้าน Louis ที่ Takashimaya โอ๊ย เดินย้อนกลับไปอีก ถึงร้าน Louis ในที่สุดก็เจอพี่ต้า สรุปนัดกัน 11 โมง กว่าจะเจอกันเกือบบ่ายโมง
จาก Takashimaya ก็เดินออกไปทาง Shinjuku Southern Terrace ก็จะเห็นวิวตึกสูงใน zone ของ Shinjuku Skycraper ไอ้ Shinjuku Southern Terrace นี่ก็เป็นส่วนที่ทำคล้าย ระเบียง แล้วก็มีร้านพวก cafe ต่างๆ อยู่เป็นระยะ ดูชิวๆ ดี เดินผ่านที่นึง เอ๊ะ ทำไมคนเยอะ มาเข้าแถวอะไรกัน ก็มองๆ อ้าว นั่นมันร้าน Krispy Kreme นี่หน่า อะไรเนี่ย ทำไมที่นี้ถึงได้ฮิตจัง แต่ละคนทำหน้าเบ้ ทำไมเพิ่งมาฮิตกันเนี่ย (จริงๆ ก็ยังไม่เคยกินเหมือนกันนะ) เสร็จสุด Terrace ก็ออกมาจากถนน เดินอยู่บนทางเท้า และถุงพลาสติที่ปลิวกับสายลมบนถนน ไม่นึกว่า จะเจอแบบนี้ที่ญี่ปุ่น รู้สึกอย่างกับอยู่ข้างถนนที่ไทย แถวสยาม พี่ต้ามีภารกิจมีคนฝากซื้อถุงน่องเวลาเต้น Ballet มา ก็หาร้าน มองไปปุ๊บก็เจอเลย โชคดีจริงๆ ซื้อเสร็จ ไปหาแผ่นที่ดีกว่าว่าแถวนี้มมีไรน่าสนใจดู มันมีแต่ห้างๆ แล้วก็ห้าง แล้วรู้สึกเหมือนห้างก็ไม่มีอะไร เหมือนเดินพาต้าแบบนั้น ไม่มีไรเลย ห้างก็ไม่อยากเดิน ของในห้างดูไม่มีอะไร ไปแถว Kabukicho ดีกว่าน่าจะมีอะไร
เดินจากฝั่งนึงของสถานี JR ไปยังอีกฝั่งสู่ย่าน Kabukicho ไปถึงก็มีร้านอาหารมากมาย ความจริงย่านนี้เป็นย่านที่จะคึกคักมากในช่วงกลางคืน เพราะได้ชื่อว่าเป็น Red Light District จะต้องแปลไหมเนี่ย แปลหน่อยก็ได้ ก็คือ จะเป็นย่านพวกบาร์ ผับ โรงแรมมม่านรูด มีโชว์ไรงี้ แนวๆ พัฒน์พงศ์ ประมาณนั้น แต่นี่ไปตอนกลางวันก็เลยค่อนข้างเงียบ มีแต่ร้านอาหารที่เปิดๆ อยู่ พี่ต้าอยากกินไก่ทอดของ Lotteria มาก พอดีแถวนั้นมีอยู่ร้านนึงพอดี เลยไปนั่งกินกัน Lotteria เป็นร้าน Fastfood ที่มาจากประเทศเกาหลี ขายอาหารแนว Mc ไก่เค้ากรอบนอก นุ่มในมาก กัดๆ อยู่ดีๆ กระดูกหลุดออกมา หล่นบนโต๊ะเลย นุ่มขนาดไหน กินไปได้สักพัก มีกล่มเด็กแว๊นของญี่ปุ่น เค้ามาในร้าน ส่งเสียงเอะอะ โวยวาย ก็รู้สึกกลัวกันเลยรีบกิน แล้วเผ่นออกมา ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไปแล้วสำหรับ Shinjuku ไป Harajuku ดีกว่า ชีวิตน่าจะดีกว่านี้
รูปไม่ค่อยเยอะ เพราะมัวแต่หากันไปหากันมา แล้วมันก็ไม่ค่อยมีอะไร







เมื่อวันแรกที่มา ภูริบอกว่า มีข่าวที่ไม่ดีออกมา นั่นก็คือ มีข่าวขู่วางระเบิดที่สถานีรถไฟใต้ดิน ในวันอาทิตย์นี้ ซึ่งก็คือวันนี้นั่นเอง ภูริก็บอกว่าระวังเอาไว้ดีๆ หน่อยละกัน อย่าพยายามนั่งรถ Metro แต่ JR ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยก็ระวังหน่อย ก็เอาเหอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มาถึงญี่ปุ่นแล้วจะให้นั่งอยู่กับห้อง กลัวระเบิดไม่ไปไหน ก็คงไม่ได้นะ เพราะฉะนั้น ช่างมัน กูจะเที่ยว ถ้าระเบิดก็ถือว่าซวยไป หวังว่า ที่บ้านคงจะได้รับเงินประกันนะ ไม่สนละออกเดินทางเลยละกัน
วันนี้นัดกับพี่ต้าเอาไว้ว่าจะไปเดิน Shinjuku กับ Harajuku กัน สำหรับใครที่ไม่รู้จักพี่ต้า พี่ต้าเป็นแอร์ แต่ไม่เหมือนริน ในสงครามนางฟ้านะ พอดีพี่ต้ามีวันว่างที่ตรงกันพอดีที่ญี่ปุ่น เลยนัดกันได้ อะไรจะพอดีได้ขนาดนี้ แต่วันนี้ภูริไม่ว่างช่วงบ่าย ต้องไปทำธุระอะไรสักอย่าง นัดกับพี่ต้าไว้ประมาณ 11 โมงที่หน้าร้าน Kinokuniya ที่ Shinjuku ตอนแรกกะจะตื่นสัก 9 โมง แล้วไปกินซูชิร้านอร่อยและคุ้มแถว Shibuya ที่ภูริแนะนำ แต่เอาเข้าจริงๆ ตื่นไม่ไหว 9 โมงครึ่งกว่าจะลุกจากเตียงได้ ไปถึงร้าน ร้านก็ดันยังไม่เปิด ร้านเปิด 11 โมงแหนะ ไม่ไหวสายเกินไป เลยไปกินร้านอื่น เดินไปเดินมาแถว Shibuya สรุปก็ไปกินร้าน First Kitchen เป็นร้าน fastfood ของญี่ปุ่น แบบเดียวกับ Mc หรือว่า KFC
ร้าน First Kitchen ก็จะมีพวก burger ต่างๆ ไรพวกนี้ เมนูที่เลือกกินก็เป็น burger ใส่ไข่กับเบคอน กับ french fried ส่วน french fried ก็มีรสให้เลือกมากมาย ตอนแรกก็สั่ง เหมือนเดิม ใช้วิธีชี้ แต่ว่าขอแนะนำเป็น trick นิดนึง ทุกร้านที่เป็น fastfood ของญี่ปุ่น คำถามแรกที่เค้าจะถามก็คือ จะกินที่นี้ หรือป่าว ไม่ใช่ไปถึงก็สั่งๆ แบบที่บ้านเรา แล้วคำถามนี้เป็นคำถามสุดท้าย มันไม่ใช่นะ ถ้าไปถึงชี้ เค้าจะทำท่างงๆ เล็กน้อย แล้วใส่ภาษาญี่ปุ่นกลับมา ถ้าเรายังคง งง ชี้แต่อาหารมาอีก เค้าก็จะถามสั้นเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นว่า Here? เราก็จะ อ่อ แล้วก็พยักหน้า แล้วชี้ที่พื้น แล้วพูดว่า Yes กลับมาที่ french fried เค้าก็จะมีให้เลือกหลายรส เช่น ชีส แล้วก็รสแปลกๆ ของญี่ปุ่นเค้านะ จำไม่ได้แล้ว ก็ basic สุดก็เนี่ยแหละ cheese ตามปกติ เค้าจะให้ซองมาซองนึงเป็นผงชีสแล้วให้เรามาใส่ใน french fried แล้ว shake ผสมกันเอง แต่พนักงานคงเห็นว่า ตานี่ แม่งไม่รู้เรื่องแน่ ก็เลยไปเขย่ามาให้ เสร็จพร้อมกิน ส่วนเครื่องดื่ม ตอนแรกไม่รู้จะกินไร ก็บอกว่า lemon tea เจ๊แกคงเข้าใจบ้านนอกเข้ากรุง หยิบเอา iced tea ธรรมดามา แล้วเราจะต้องเอาน้ำมะนาว กับน้ำเชื่อมมาใส่เอง แต่ตอนแรกไม่รู้หรอกนะว่ามันต้องใส่เอง แต่เห็นข้างๆ มีไรวางไว้ ก็เลยหยิบมาดู โชคดีที่หยิบมาไม่งั้นก็ต้องเดินไปเอามาอีก รสชาติอาหารมื้อนี้ก็โอเค ตามแบบฉบับ fastfood ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่าที่พิเศษก็คือ เจอสาว 2 คน คนนึงกำลังแต่งหน้า แบบที่ Harajuku นะ (เรียกไม่ถูกว่า แต่งแบบไหน) ส่วนอีกคนนึงกำลังหลับ เอาแรง ภูริบอกว่า ปกติเสาร์หรืออาทิตย์ ตามร้าน fastfood จะเห็นพวกเด็กผู้หญิงมานั่งแต่งตัว หรือนอนพักก่อนที่จะไปโชว์ตัว ที่เค้าต้องมาแต่งตามร้านนี่ ก็เพราะบางคนก็แอบที่บ้านมาแต่ง ก็คงคล้ายๆ กับคนไทยแหละ แต่คนไทยไม่แต่งเท่าเค้าแค่นั้นเอง กินเสร็จ ก็แยกกับภูริ เพื่อไปหาพี่ต้า
จาก Shibuya นั่งรถไฟ JR ไม่กี่สถานีก็ถึงสถานี Shinjuku ออกจากสถานี เจอแผ่นที่ใบใหญ่ เมื่อวานภูริบอกว่า Kino มันอยู่ตรง Takashimaya ก็มองหาในแผ่นที่ นั่นไง ไกลเชียว ก็เดินๆ ไปถึง ก็ลองเดินหา ไม่น่าจะหายาก เพราะปกติ Takashimaya ที่เคยไปที่ประเทศอื่น มันจะมี plaza อยู่ข้างนอกแล้วก็ร้าน Kino ก็ต้องอยู่ตรงนั้น ง่ายมาก ถึงเวลาก็เดิน เอ๊ะ ทำไมไม่มี plaza ออกไป สุดตึกก็เป็น Tokyo Hands (ร้านขายของแนวเครื่องเขียนและสำนักงานขนาดใหญ่) เดินไปข้างหน้า มีผังของร้าน ก็ดูๆๆ นั่นไง Kinokuniya อยู่ชั้นล่างสุด ลงไป เอ๊ะ มันเป็น super นี่หน่า เดินวน 1 รอบ เอ๊ะ อยู่ไหน ไม่เห็นมี ลองไปหาผังชั้น ก็มีนี่ เขียนว่า Kinokuniya อยู่ตรงนั้น ก็เดินไปตามที่ผังมันเขียน ไปถึงเป็นมุมขายเนื้อ (kuni = เนื้อ)(มารู้ทีหลังว่า Kino นะมันแยกออกอีกตึกนึง แต่อยู่ใกล้ๆ กับ Takashimaya) เฮ้ยอะไรเนี่ย ตอนนี้เวลาก็เกือบเที่ยงแล้ว ทำไมดี สงสัยต้องโทรศัพท์แล้ว เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีโทรศัพท์ เลยนัดกับพี่ต้าว่า ถ้าไม่เจออะไรกันให้โทรไปหาภูริ ก็เลยไปหาโทรศัพท์ นั่นไงเจอละ ไปถึง อ้าวให้ได้แต่การ์ด แม่งอะไรเนี่ย คิดไปคิดมา สถานีรถไฟมันต้องมีโทรศัพท์แน่ๆ เดินกลับไปสถานีอีก กว่าจะเจอโทรศัพท์ ก็ล่อไป 10 นาที โทรไปหาภูริ ได้ความว่า พี่ต้าจะรอที่ร้าน Louis ที่ Takashimaya โอ๊ย เดินย้อนกลับไปอีก ถึงร้าน Louis ในที่สุดก็เจอพี่ต้า สรุปนัดกัน 11 โมง กว่าจะเจอกันเกือบบ่ายโมง
จาก Takashimaya ก็เดินออกไปทาง Shinjuku Southern Terrace ก็จะเห็นวิวตึกสูงใน zone ของ Shinjuku Skycraper ไอ้ Shinjuku Southern Terrace นี่ก็เป็นส่วนที่ทำคล้าย ระเบียง แล้วก็มีร้านพวก cafe ต่างๆ อยู่เป็นระยะ ดูชิวๆ ดี เดินผ่านที่นึง เอ๊ะ ทำไมคนเยอะ มาเข้าแถวอะไรกัน ก็มองๆ อ้าว นั่นมันร้าน Krispy Kreme นี่หน่า อะไรเนี่ย ทำไมที่นี้ถึงได้ฮิตจัง แต่ละคนทำหน้าเบ้ ทำไมเพิ่งมาฮิตกันเนี่ย (จริงๆ ก็ยังไม่เคยกินเหมือนกันนะ) เสร็จสุด Terrace ก็ออกมาจากถนน เดินอยู่บนทางเท้า และถุงพลาสติที่ปลิวกับสายลมบนถนน ไม่นึกว่า จะเจอแบบนี้ที่ญี่ปุ่น รู้สึกอย่างกับอยู่ข้างถนนที่ไทย แถวสยาม พี่ต้ามีภารกิจมีคนฝากซื้อถุงน่องเวลาเต้น Ballet มา ก็หาร้าน มองไปปุ๊บก็เจอเลย โชคดีจริงๆ ซื้อเสร็จ ไปหาแผ่นที่ดีกว่าว่าแถวนี้มมีไรน่าสนใจดู มันมีแต่ห้างๆ แล้วก็ห้าง แล้วรู้สึกเหมือนห้างก็ไม่มีอะไร เหมือนเดินพาต้าแบบนั้น ไม่มีไรเลย ห้างก็ไม่อยากเดิน ของในห้างดูไม่มีอะไร ไปแถว Kabukicho ดีกว่าน่าจะมีอะไร
เดินจากฝั่งนึงของสถานี JR ไปยังอีกฝั่งสู่ย่าน Kabukicho ไปถึงก็มีร้านอาหารมากมาย ความจริงย่านนี้เป็นย่านที่จะคึกคักมากในช่วงกลางคืน เพราะได้ชื่อว่าเป็น Red Light District จะต้องแปลไหมเนี่ย แปลหน่อยก็ได้ ก็คือ จะเป็นย่านพวกบาร์ ผับ โรงแรมมม่านรูด มีโชว์ไรงี้ แนวๆ พัฒน์พงศ์ ประมาณนั้น แต่นี่ไปตอนกลางวันก็เลยค่อนข้างเงียบ มีแต่ร้านอาหารที่เปิดๆ อยู่ พี่ต้าอยากกินไก่ทอดของ Lotteria มาก พอดีแถวนั้นมีอยู่ร้านนึงพอดี เลยไปนั่งกินกัน Lotteria เป็นร้าน Fastfood ที่มาจากประเทศเกาหลี ขายอาหารแนว Mc ไก่เค้ากรอบนอก นุ่มในมาก กัดๆ อยู่ดีๆ กระดูกหลุดออกมา หล่นบนโต๊ะเลย นุ่มขนาดไหน กินไปได้สักพัก มีกล่มเด็กแว๊นของญี่ปุ่น เค้ามาในร้าน ส่งเสียงเอะอะ โวยวาย ก็รู้สึกกลัวกันเลยรีบกิน แล้วเผ่นออกมา ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไปแล้วสำหรับ Shinjuku ไป Harajuku ดีกว่า ชีวิตน่าจะดีกว่านี้
รูปไม่ค่อยเยอะ เพราะมัวแต่หากันไปหากันมา แล้วมันก็ไม่ค่อยมีอะไร








สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)