วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

ก้าวแรกสู่โตเกียว

หลังจากที่เครื่องลง ก้าวแรกที่เจอคือ อากาศเย็น โอ สุดยอด อากาศที่ชอบมากเลย อากาศประมาณนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ จะต้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะภูริ บอกไว้ก่อนว่า กองตรวจคนเข้าเมืองที่นี้ช้า กว่าจะออกจากสนามบินได้ประมาณ 1 ชั่วโมงได้ แล้วกว่าจะต่อรถไฟเข้าเมืองอีก ตอนนั้นคนก็เยอะพอดี ก็จากภาพติดตาที่รถไฟญี่ปุ่นเวลาที่คนเยอะ ต้องมีคนดันๆ เข้าไปให้หมด แล้วยิ่งเรามีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่แบบนี้ไปด้วย มีหวังตายพอดี เพราะฉะนั้น รีบไปให้ถึง shibuya ให้เร็วที่สุดดีกว่า แต่ก่อนอื่นขอเข้าห้องน้ำก่อนละกัน

ไปถึงกองตรวจคนเข้าเมือง ก็งง เอ๊ะ ทำไมคนน้อยจัง แทบไม่มีคิวเลย มาผิดที่ป่าวหว่า ก็เดินๆ เข้าไปคุณลุงแต่งตัวเหมือนพนักงานก็เข้ามาดู เอกสารไรงี้ ปรากฏไอ้ใบตรวจคนเข้าเมืองที่ได้จาก อี๊วิไล มันไม่ใช่แบบที่เค้าต้องการ ต้องไปเขียนใหม่ อ้าวตายแล้วกู เสียเวลามานั่งเขียนใหม่อีก ยืนเขียนด้วยความรวดเร็ว แล้วก็ไปต่อคิวใหม่ โชคดีมาก เพราะต่อคิวได้ไม่ถึง 10 วินาที เห็นฝูงคนเกาหลีฝูงใหญ่เดินมาเพื่อตรวจคนเข้าเมือง เข้าแถวไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงคิว ไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ scan passport แล้วหน้าจอข้างๆ เราก็เปลี่ยนจากภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทยทันที โห เจ๋ง user friendly สุดๆ หน้าจอก็จะแนะนำให้เรา scan ลายนิ้วมือ ถ่ายอะไรไปตามเรื่อง เสร็จเค้าก็ stamp visa แล้วก็แปะสติกเกอร์ที่ passport ว่าให้อยู่ได้ 90 วัน อยู่ได้ถึงวันไหน ไรงี้

ออกมารับกระเป๋า ก็ไม่ต้องรอเลย กระเป๋ามาหมุนรออยู่ที่สายพานแล้ว ไม่เหมือนขากลับที่ไทย รอเกือบ 20 นาทีกว่ากระเป๋าจะออกมา ไม่ได้เรื่อง หลังจากรับกระเป๋า ก็ผ่านมาที่ custom ไม่รู้ซวยหรือว่ายังไง เจอตรวจ ให้เปิดกระเป๋า ถามว่ามาทำอะไร พักที่ไหนอะไร แล้วพอดีพกยาไปด้วย คุณเจ้าหน้าที่แกก็ตรวจดูใหญ่ เสียเวลาไปสักพัก แต่ก็ผ่านมาได้ สรุปเวลาที่ใช้กับสนามบินก็ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ทั้งๆ ที่ plan ไว้เป็นชั่วโมง โชคดีจริงๆ

ที่นี้แหละ ของจริงแล้วจะต้องเข้าเมือง วันแรกแพลนว่ายังไม่ใช้ JR Pass ก็เลยต้องนั่งรถไฟเข้าไปเอง ความจริงรถไฟที่จะเข้าเมืองได้มีหลายสายมาก แต่เลือก Keisei Line เพราะว่าถูกที่สุด แค่ 1,000 เยน แต่ก็ใช้เวลานานสุดเช่นกัน ก็มองหาป้าย Keisei Line แล้วไปยังป้ายทันที ก่อนที่จะซื้อตั๋วรถไฟ ผ่านร้านของ JR เห็นว่าเรายังทำเวลาได้ดีอยู่ ก็เลยแลกบัตร JR Pass เลยก็แล้วกัน ก็ไม่มีอะไร แสนจะง่าย กรอก form ว่าเราจะเริ่มใช้วันไหน แล้วก็ยื่นให้พนักงาน เค้าก็จะออกเป็น JR Passport มาให้แล้วก็พิมพ์ไว้ว่าเริ่มวันไหน หมดวันไหน พร้อมของแถม 2 อย่าง ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะต้องทำเวลา แต่แอบมาดูตอนหลัง มันก็คือ postcard แล้วก็แบบสอบถาม (จริงๆ บัตร JR Pass มันสวยกว่าที่เห็นในรูป เพราะมันเป็นสีเงินสะท้อนแสง แต่ที่เห็นใบอาจจะยับหน่อย เนื่องจาก เดินทางมามากมาย เลยยับแบบนั้น)

ซื้อตั๋วแล้วเลยละกัน สำหรับตั๋วรถไฟเราสามารถซื้อแบบธรรมดา คือ ใช้ครั้งเดียวก็ได้ แต่ภูริแนะนำว่าให้ซื้อเป็นแบบบัตรเติมเงินไปดีกว่า เพราะว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งกดทุกครั้ง ซึ่งมันเรียกว่า บัตร PASMO แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเติมเงิน อย่างน้อยทีละ 1,000 เยน แล้วมีค่ามัดจำบัตร 500 เยน เฉพาะค่ารถไฟ Keisei Line นี่ก็ 1,000 เยนแล้ว งั้นซื้อซะ 1,500 เยนละกัน บวกค่ามัดจำอีก 500 เยนเป็น 2,000 เยน ตั้งใจมาตั้งแต่เมืองไทยว่าจะใช้แบงค์ 10,000 เยนก่อน จะได้แบงค์ย่อยมา ก็ใส่แบงค์เข้าไป เงินทอนออกมา เอ๊ะ ทำไมมันออกมาแค่นี้ละเงินทอน ใส่ 10,000 เยนไม่ใช่หรอ เฮ้ยยังไม่ทันไร โดนโกงแล้วหรอวะ ยืน งง อยู่หน้าตู้สักพัก เพิ่งสังเกตุว่าคนข้างหลังมาต่อแล้ว 2-3 คน ก็เลยหลบให้เค้าไปกดต่อ แล้วมายืน งง ต่อข้างๆ ตู้ เอาเงินในกระเป๋ามานับ เอ๊ะ ก็หายไปแค่ 2,000 เยนนี่หว่า อ้าว สงสัยเมื่อกี้มึนไม่ได้ใส่แบงค์หมื่นมั้ง ตั้งสติได้ กูต้องรีบไป รีบพุ่งไปดูตารางรถ เห็นรถจะออกตอน 14:4x หันไปมองนาฬิกา 14:30 รีบลากกระเป๋า เข้าไปดีกว่า รถว่าง Thanks god ไปหาที่นั่งดีกว่า ในที่สุดก็นั่งข้างฝรั่ง หรือแขกตัวเหม็นคนหนึ่ง โชคดีที่เครื่องลงที่ terminal 1 เพราะเป็นต้นสาย เลยได้นั่ง ถ้าลง terminal 2 นี่ไม่ได้นั่งแน่เลย สำหรับ Keisei Line จะสิ้นสุดที่สถานี Ueno แล้วต้องต่อรถไฟสายอื่น ไปยัง Shibuya แต่เล็งไปเล็งมาไปลงสถานีก่อน Ueno ชื่อ Nippori ก่อนดีกว่า เพราะเป็นต้นสายกว่า คนน่าจะน้อยกว่า ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงนึง จากสนามบินก็ถึง Nippori


ลงรถที่ Nippori ก็เดินมั่วๆ ตามป้ายว่า JR ออกจากสถานีได้ ก็จะเข้าไปต่อ JR ก็ต้องใส่บัตรอีก ก็เอาบัตร PASMO ไปอังๆ อ้าวไงเป็นสีแดง สงสัยเงินจะหมด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ในนั้นต้องเหลือ 500 เยนซิ ลองไปเช็คที่เครื่องปรับเงินดูซิ เครื่องก็บอกว่าไม่ต้องเติมเงินนี่ เลยเอาไปอังใหม่ อ้าวผ่าน อะไรของมันเนี่ย พอเข้าไปได้ ที่นี้เอาไงต่อละ ซ้ายหรือขวาหรือตรงไป พยายามมองหาป้ายไปเรื่อย นั่นไง สาย 9 ไปยัง Shibuya รอพักเดียวรถก็มา คนก็ไม่ค่อยเยอะ โชคดีจริงๆ รถของ JR นี่คนละเรื่องกับที่เมื่อกี้นั่งมาเลย เพราะว่า บนรถจะมี monitor บอกหมดว่า ต่อไปสถานีอะไร แล้วอีกกี่นาทีจะถึงสถานีนั้นสถานีนี้ ไม่ต้องมานั่งมองว่าถึงไหนแล้วแบบรถคันก่อน มอง monitor ก็บอกว่า อีก 20 กว่านาทีจะถึง Shibuya เลยหยิบเอา iPod มาฟังเพลง สักพักคุณป้าก็ลุก ได้ที่นั่งแล้ว ผ่านไป 20 กว่านาทีตามที่ monitor บอกก็ถึง Shibuya


credit picture from http://www.keisei.co.jp/

ไม่มีความคิดเห็น: