จากป้ายรถบัสหน้าวัด Ninnaji จำไม่ได้ว่านั่งสายเดียว หรือว่าต่อ 2 สายมาลงหน้าปราสาท Nijo ลงจากรถบัส มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นแนวกำแพงยาว แม้ว่าจะไม่ใหญ่โต เท่ากับปราสาท Osaka ก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่เหมือนกัน ด้านหน้าก็จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 600 เยน เดินผ่านเข้าประตูวังชั้นแรก ด้านซ้ายก็จะเจอ Guard House ทันทีด้านใน เค้าก็จะมีตั้งตุ๊กตาไว้ ให้ดูเหมือนมียามเฝ้าปราสาทอยู่จริงๆ ด้านหน้าจะมีเต้นท์ แล้วมีพนักงานต้อนรับ อัธยาศัยดี มาต้อนรับ ก็เดินเข้าไปขอ information ของปราสาทมา เดินอ้อมมาทางด้านซ้ายหน่อย ก็จะเจอกับประตูไปยังปราสาท ซึ่งสร้างได้เหมือนกับ ประตูของพระราชวังเดิมที่วัด Ninnaji เลย ผ่านประตูเราก็จะเจอกับตัวปราสาทเลย ปราสาทนี้เค้าเรียกว่า Ninomaru Palace วังนี้ไม่เหมือนกับ ปราสาทอื่นๆ ในญี่ปุ่น ที่จะสร้างขึ้นไปสูงๆ ใหญ่โต แต่ Ninomaru Palace นี้เป็นปราสาทแค่ชั้นเดียว และมีหลายๆ ตำหนักเชื่อมต่อกัน ด้านระเบียงไม้ยาวๆ ด้านนอกจะเห็นกับไม้แกะสลักที่วิจิตรแปะอยู่บนประตูทางเข้า ด้านบน จะประดับด้วยทอง เดินเข้าไปก็ต้องถอดรองเท้าซะก่อน ที่ปราสาทมีสิ่งนึงที่พิเศษคือ ในช่วงตำหนักแรกๆ เมื่อเราเดินบนระเบียงไม้จะมีเสียง เอี๊ยดอ๊าด ดังตลอดทาง จริงๆ แล้วเค้าบอกว่าสมัยก่อน เสียงนี้จะเหมือนกับเสียงร้องของนกไนติงเกล แต่ไงตอนนี้นกคงจะแก่แล้ว เสียงเลยเพี้ยนไปแบบนี้ ในแต่ละตำหนักนั้นจะมีห้อง เปิดให้เราชม ซึ่งภายในก็จะมีหุ่น จำลองถึงกิจกรรมในห้องนั้นๆ ซึ่งแต่ละห้องจะถูกประดับด้วยภาพวาดฝาผนังที่วิจิตร สวยงามเอามากๆ เป็นภาพของเสือ ต้นสน ท้องฟ้า ภูเขา หงส์ อะไรพวกนี้ ทางสีทอง วิจิตรสวยมากๆ เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูป จึงเก็บมาได้เพียงความทรงจำประทับใจที่ยังเหลืออยู่ จริงๆ ทุกเราเค้าจะมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ เล่าเรื่องราวว่าห้องนี้เป็นห้องอะไร ทางเดินก็จะเป็นแบบ one-way เดินรอบรอบแล้วออกมาทางเข้า ภายใน เค้าจะไม่เปิดหน้าต่างเพราะว่า แสงแดด อาจจะทำให้ภาพฝาผนังมันเสื่อม หรือสีจืดไปได้ แต่ก็ไม่ได้มืดมากมายนะ ภายในปราสาท ก็มองเห็นรายละเอียดของศิลปะอันงดงามได้ เดินออกจากปราสาทออกมา เดินผ่านสวนญี่ปุ่น บ่อน้ำ ที่จัดไว้อย่างดี ที่สวนมี เอาฟางไม้มาสร้างทำเป็นต้นปาล์ม แทนต้นเดิมที่ตายไป แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของเค้าที่จะยังคงให้เรายังพอได้บรรยากาศเหมือนแต่ก่อนมากที่สุด ถัดจากสวน ก็จะเดินผ่านคลองชั้นใน เข้าสู่วังชั้นใน Honmaru Palace เดิมทีวังนี้เป็นปราสาท 5 ชั้น แต่ถูกไฟไหม้หมด เค้าเลยยก Katsura Imperial Palace มาตั้งไว้แทน ปราสาทนี้ก็เป็นปราสาทไม้ ให้อารมณ์เดียวกับ Ninomaru Palace แต่อันนี้เราเข้าไปดูข้างในไม่ได้ ก็เดินตามทางเดินในสวนชมปราสาทด้านนอก ทางเดินก็จะพาเราไปยังป้อมด้านนึง เพื่อชมวิว ที่แอบไม่มีอะไร เดินลงมาเพื่อกลับออกไปด้านหน้า ก็จะผ่านกับสวนอีกอันนึง แล้วเราก็จะเจอกับ Exhibition Hall และก็ส่วนขายของที่ระลึก ก็หมดสำหรับ ปราสาท Nijo รู้สึกประทับใจกับศิลปะ ที่สวยงามใน Ninomaru Palace มาก
จากปราสาท Nijo นั่งรถบัสที่ป้ายด้านหน้าปราสาทไปยังจุดหมายต่อไป วัด Ginkakuji เช่นเคยก็นั่งรถเมล์ไป 2 ต่อมั้ง ไปถึงก็เดินต่อ จากป้ายรถเมล์เดินเข้าไประยะนึงพอควร ก็จะเจอกับต้นทางเดินแห่งปรัชญา Path of Philosophy ชื่อไฮโซเชียว ทางเดินนี้จะเลียบคลองไปเรื่อยๆ โดยสองฝั่งคลองก็จะมีต้อนซากุระปลูกเต็มไปหมด ถ้ามาช่วงซากุระบานคงจะสวยมากๆ จากตรงนี้เดินผ่านย่านขายของ ขึ้นเขาไปเรื่อย จนสุดทาง ก็จะเจอกับวัด Ginkakuji สำหรับวัดนี้เป็นวัดที่มีวิหารสีเงิน ซึ่งคู่กับวิหารสีทองที่วัด Kinkakuji ทางเข้าวัดก็จะเป็นกำแพงต้นไม้สองข้าง สวยดี จ่ายค่าธรรมเนียม 500 เยน เข้าไปสิ่งแรกที่เจอก็คือ สวนหิน ที่ถูกครากเป็นลายคลื่นสวยงาม ประดับด้วยสนที่ตัดแต่งกิ่งอย่างดี ด้านหลังเป็นตึกญี่ปุ่น เดินผ่านกำแพงเข้าไป ก็จะเห็นเลยวิหารเงิน ของจริงมันไม่มีสีเงินเลย ตามรูปที่เคยเห็นๆ มาแหละ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีสีเงินมาตั้งแต่แรกนะ ถึงแม้ว่าเดิมทีจุดประสงค์วิหารนี้จะวิหารสีเงินที่จะสร้างมาคู่กับวิหารทอง แต่ว่าโชกุนที่อยากให้สร้างวิหารเงินนี่ ดันตายไปซะก่อน ก็เลยอดหุ้มเงิน เป็นสีไม้มาตั้งแต่ตอนนี้ จนถึงตอนนี้ แล้วดันซวย ไปถึงกำลังซ่อมอยู่ เลยเห็นโครงเหล็กเต็มไปหมด เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตัววิหารมา ถัดมานิดเดียวก็จะเป็นสวนหิน ที่จัดไว้เป็นลาย 2 สี สวยมากๆ หมดแล้วสำหรับวัดเงิน ต่อไปก็จะเป็นสวน ที่นี้จะเน้นมอสเป็นพิเศษ เค้าจะมีถาดตั้งให้ดูเลยว่า มอส ที่วัดนี้มีอะไรบ้าง แล้วมีการแบ่งเกรดเป็น มอสธรรมดา กับมอส VIP ก็คือ พวกที่หายากนี่เอง ทางเดินชมสวนนี้ก็จะเป็นทางเดินขึ้นไปบนเขา เราก็จะได้เห็นธรรมชาติ และวิว เช่นกัน พอเดินลงมาจากเขา ทางเดินก็จะพาเราวนมาชมตัววิหารใกล้ๆ อีกทีนึงเป็นการส่งท้ายก่อนที่จะกลับ
พอออกจากวัด ก็อย่าลืมแวะวัด Jodo-in ซึ่งอยู่ข้างๆ กับวัด Ginkakuji เลยคนส่วนใหญ่จะมองข้ามแล้วเดินเลยไปเลย เป็นวัดเล็กๆ พอดีเข้าไป ตัววิหารปิดแล้วเลยไม่ได้เข้าไป ข้างในก็จะมีรูปปั้นขององค์หญิงคนหนึ่ง ให้สักการะ และองค์พระพุทธรูป ขนาดเล็กมากมายเรียงอยู่ ก็ถ้ามีเวลาก็ลองแวะมาดูก็ได้ ไหนๆ ก็มาถึงนี้แล้ว
วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น