วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2551

สัมผัส Shibuya ครั้งแรก

นั่งรถไฟ 20 กว่านาที ก็ถึง ตามที่ monitor บอก ตอนนี้คนก็ยังไม่ค่อยเยอะมาก แล้วนั่งใกล้ประตูด้วย ทำให้การเอากระเป๋าออกมานี่ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากมาก ลงจากรถไฟ ก็เอ๊ะ จะไปทางไหนดี มองหาป้ายตามเคย นั่นไง Central Exit ก็ไปตามป้าย ง่ายกว่าที่คิดแหะ ใครบอกว่าป้ายมีแต่ภาษาญี่ปุ่นนี่ไม่จริงเลย ภาษาอังกฤษก็มีให้เห็นทั่วไป ก่อนออกจากสถานี เจอร้าน convenient store แวะไปดูไรกินหน่อยละกัน ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง ตอนนี้ก็จะ 4 โมงเย็นละ เดินวนไปวนมา ก็เอาง่ายๆ ละกัน อะไรที่เป็นญี่ปุ่นหน่อย ก็เลยได้ ข้าวหน้าแซลมอล มาหนี่งลูก กินกันตาย

ตามแผนก็จะ หา locker แล้วเอากระเป๋าใบยักษ์ยัดไว้ แล้วไป Imperial Palace เพราะภูริมันไม่อยากจะไป พอถึงจะกลับบ้านภูริ ค่อยมาไขเอา แต่เดินวนไปมา รอบสถานีก็เจอแต่ตู้เล็กๆ ใส่ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจ ลากเอาก็ได้วะ ก็เลยไม่ไปวัง เพราะถ้าเอาไปด้วยอาจจะตาย ได้เพราะตอนนี้เริ่มถึงเวลาที่คนจะเยอะแล้ว ออกจากสถานีก็เดินมั่วๆ มันเป็นทางเชื่อมบนตึกซึ่งข้ามถนนเส้นหนึ่ง มองลงไปก็เป็น สี่แยกที่ shibuya เอ๊ะนั่นมันคือ Starbuck นี่หน่า โอเค เจอแล้วที่นัดพบภูริ ตอน 3 ทุ่ม ตอนนี้ 4 โมง ออกไปเดินเล่นละกัน ลงไปข้างล่าง เจอร้าน ปาจิโกะ เครื่องเล่นลูกเหล็กยอดฮิตของญี่ปุ่น อ้า เห็นของจริงแล้ว ยังไม่ทันไร พอดี แถวนั้นเป็นบริเวณที่คนไม่เยอะ เลยยืนกินข้าวปั้นที่ซื้อมา รับกับลมหนาวที่พัดมา ไม่ขาดสาย กินเสร็จเริ่มเดิน เดินไปเดินมา ถ่ายรูป ถ่ายแล้วถ่ายอีก มองนาฬิกา เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมง เริ่มเมื่อย แล้วก็หนาว ไปเดินใน Tokyu ละกัน จะได้อุ่นหน่อย ไม่ต้องเจออากาศหนาวข้างนอก ระหว่างทางไป Tokyu ก็เจอ locker ขนาดใหญ่แล้ว แต่ดันเต็มหมด เศร้า ลากกระเป๋าต่อไปสู่ Tokyu เดินไปเดินมา เจอที่นั่ง ก็เลยนั่งพัก หยิบเอาขนมปัง ที่บนเครื่องแจก แล้วเก็บไว้เป็นเสบียงเอามากิน ประทังชิวิติ หยิบเอาหนังสือมาอ่านว่า Shibuya มีอะไรน่าสนใจ ในนั้นก็พูดถึง หมายอดกตัญญูที่ชื่อ "ฮาชิโกะ" เรื่องของหมาตัวนี้น่าจะเคยได้ยินมาบ้างนะ ที่ว่ามานั่งรอเจ้านายที่สถานีทุกวัน แล้ววันนึงเจ้านายเกินตาย แต่หมาก็ยังมารอตลอด ไม่หยุด ประมาณนั้น หายเมื่อยแล้ว ไปตามหา ฮาชิโกะ กันดีกว่า

ตามหนังสือ บอกว่าอยู่แถวรถโบกี้สีเขียว ใกล้สถานี JR ก็แค่นี้เอง Tokyu ก็อยู่บนสถานี ลงไปน่าจะเจอ ลงไปถึง นั่นไง รถโบกี้สีเขียว มองรอบๆ แล้วไหนหว่า ฮาชิโกะ เอ๊ะ หรือว่าอยู่อีกด้านนึง เดินวนไปอีกข้าง อ้าวก็ไม่เจอ มันอยู่ไหนวะ เดินกลับมาด้านรถโบกี้สีเขียว พยายามหาอีกครั้ง เอ๊ะ บนกำแพง มีภาพนูนต่ำหมาเต็มไปหมด หรือว่าเค้าเปลี่ยนจาก อนุสาวรีย์กลายเป็นภาพบนผนังแทน บ้าน่าไม่จริง หาใหม่วนไปวนมา เฮ้ยนั่นไง รูปปั้นหมา ในความคิดตอนแรก เห็นในหนังสือใช้คำว่า อนุสาวรีย์ ก็นึกว่าจะใหญ่เหมือน อนุสาวรีย์ย่าเหล ที่บ้านเรา แต่ไง ฮาชิโกะ ถึงได้เล็กแค่นี้เองละ สูงเลยหัวคนมานิดหน่อย แล้วคนรอบข้ามก็ไม่มีใครสนใจ อย่างนี้น่าจะเรียกว่า รูปปั้นที่ทำให้เป็นที่ระลึกมากกว่านะ

เหนื่อยจากการเดินวนหารูปปั้น ฮาชิโกะ ไปหาไรกินดีกว่า ตอนแรกเล็งไว้ว่าจะกิน Yoshinoya แต่ว่าเดินวนหน้าร้าน 5 รอบระลึกได้ว่าร้านเล็กมาก เอากระเป๋าเข้าไปไม่ได้แน่ๆ เลยเดินหาร้านใหม่ ในที่สุดก็มาลงเอยอยู่ที่ MOS Burger เห็นโต๊ะหน้าร้านว่างพอดี เลยรีบยกกระเป๋าเข้าไปจองก่อน ทีนี้จะสั่งละ ไปถึง พนักงานก็ใส่ภาษาญี่ปุ่นมาชุดใหญ่ อะไรวะ กูไม่รู้เรื่อง ชี้เอานี่แหละว่า กูจะเอานี่ ชัวร์สุด ดีที่พนักงานพอพูดอังกฤษได้ เมนูที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้มีไรแตกต่างกับที่ไทยมาก สั่งแค่ MOS Chesse Burger มาแค่นั้น เค้าก็ให้น้ำเปล่ามาแก้วนึง เออดีแหะ มีให้น้ำด้วย ไม่ต้องขอ นั่งได้ไม่นาน (เหมือนที่ไทย) ก็เอามาเสิรฟ์ กินแล้วไม่รู้คิดไปเองหรือป่าวว่าอร่อยกว่า สงสัยเพราะหิว แต่ที่แน่ๆ ร้อนกว่ามาก ของไทยเที่ยวล่าสุดไปกิน นี่เย็นมาก เหมือนเอาของทำทิ้งไว้มาให้กิน ขอนั่งนานหน่อยละกัน

2 ทุ่มกว่าละ ออกไปโทรหาภูริก่อนดีกว่า ก็โอเค confirm ว่า 3 ทุ่มหน้า Starbuck ตามเดิม อีก 40 นาทีเอง เดินเล่นละกัน แป๊บเดียวก็คงถึงเวลา ผ่านตู้ locker อ้าววางละ แต่สายไปซะแล้ว จะเจอภูริแล้ว จะข้ามแยกไป Starbuck เอ๊ะ ทำไมคนเยอะจัง พอไฟแดง ทุกคนมากันข้ามถนน จากฝั่งนั้นไปฝั่งนี้ คนเยอะมาก เลยระลึกขึ้นได้ว่า นี่มันคือ แยกที่คนข้ามถนนเยอะๆ ที่ดังๆ นี่หว่า นึกว่าอยู่ที่อื่นนะเนี่ย โหๆ คนเยอะตื่นเต้น คนอัดวิดีโอไว้เต็มเลย งั้นเดี๋ยวมาข้ามอีกรอบดีกว่า อ่ะล้อเล่นนะ ข้ามรอบเดียวเอง เพราะ ที่เหลืออีกหลายวัน คงได้ข้ามทุกวันแน่ เพราะอยู่แถวนี้

3 ทุ่มเป๊ะ ภูริเดินข้ามถนน มาที่ Starbuck ตรงเวลาเป๊ะ เนื่องจากยังไม่กินไรกันทั้งคู่ ภูริ เลยพาไปกินข้าวผัดปูชื่อดัง ที่เคยออก TV Champion มาแล้ว ไปถึงก็สอนวิธีการซื้ออาหารจากตู้ ก็ไม่มีอะไร ใส่เงิน กดว่าจะกินอะไร แล้วมันจะมีกระดาษออกมา แล้วกดว่าเราสั่งพอแล้ว มันก็จะทอนเงินมาให้ เราก็เอากระดาษนั้นไปให้พนักงาน จบ ภูริสั่งข้าวผัดปูธรรมดา เราสั่งข้าวผัดปูราดซอสทูน่าใส่ไข่ แล้วก็เกี๊ยวซ่า มองเค้าผัดนี่เหมือนในทีวีเลย เอามาเสริฟ์โอโห เหมือนที่อ่านมา ไข่เคลือบบนข้าวทุกเม็ด เหลืองน่ากินเชียว เสริฟ์พร้อมซุปขาปู ลองกินดีกว่าว่าจะอร่อยขนาดไหน คำแรก จืด เอ๊ะ ลิ้นอาจจะยังไม่รับรส คำสอง ก็จืด จืดๆๆๆๆๆ พอกินกับซอสก็ค่อยยังชั่ว เค็มขึ้นหน่อย แต่โดยรวมก็โอเคนะ ถือว่าใช้ได้ ภูริบอกว่า อย่างนี้แหละ อาหารญี่ปุ่นจืดทุกอย่าง ต่อไปก็เกี๋ยวซ่า กินเข้าไป เหมือนเกี๊ยวซ่าที่ ฮาจิบังราเมน บ้านเราเลยแหะ ภูริบอกว่า ตอนนี้เค้าไม่กินเกี๋ยวซ่ากันนะ เพราะว่า มีข่าวว่าเจอสารเป็นพิษในเกี๊ยวซ่าจากจีนมา อ้าวแล้วทำไมไม่บอกก่อน สรุปมื้อนั้นก็อิ่ม อร่อย

กินเสร็จ ก็ไปหาเครปกินนิดหน่อย ที่ญี่ปุ่นนี่ส่วนใหญ่ คนเค้าจะไม่เดินกินกันเหมือนบ้านเรา เพราะฉะนั้นพอซื้อเครปเสร็จก็เลยยืนกินกันแถวหน้าร้าน โต้ลมหนาวสักพัก แล้วก็เดินต่ออีกนิดหน่อย เพราะร้านส่วนใหญ่จะปิดกันหมดแล้ว ส่วนใหญ่ร้านที่ญี่ปุ่นจะปิดกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่ร้านอาหารจะปิดดึกกว่า กลับถึงบ้านภูริ ก็เก็บของ แล้วเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ต่อไป

มาดูรูปกันดีกว่า แต่รูปค่อนข้างจะสั่นหน่อยนะครับ ต้องขอโทษด้วย อยากดูรูปใหญ่ก็คลิ๊กที่รูปเลยนะครับ

PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket

ไม่มีความคิดเห็น: