จากตลาดปลา Tsukiji ก็สามารถเดินต่อไปยัง Ginza ได้ ระหว่างทาง ก็มีย่านขายของกิน คล้าย ตลาดอยู่ระหว่างทาง ก็จะมีร้านราเมน ร้านข้าว แบบคนยืนต่อคิวกันกิน เป็นร้านแบบแผงๆ จะกินก็ยืนกินในร้าน เดินเข้าไปข้างในหน่อยก็จะเป็นตลาด ขายของต่างๆ ภูริเดาว่า มันคือตลาดที่ขายเครื่องครัว เนื่องจากเจอเครื่องครัวต่างๆ วางขายเต็มเลย ก็ไปเจอปลาไหลย่างขาย ไม้ละ 100 เยน มีปลาไหลเสียบอยู่ 2 ท่อนเล็กๆ ก็ลองซื้อมาไม้นึง ชิมดู มันเหมือนอาหารที่มันกลมกล่อม คือกินเข้าไปแล้ว รู้สึกจืด แล้วก็มันๆ เนี้อมันนุ่มมาก ก็อร่อยแปลกดี สำหรับตลาดนี้ภูริก็ไม่เคยเดินเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรก
ออกจากตลาด ก็ผ่านตึกรูปร่างแปลกๆ ตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงตึกนึง มองไปดูเป็นศิลปะทางยุโรป แต่พอเข้าไปใกล้ๆ เห็นส่วนของหน้าต่าง เป็นแบบอิสลาม ก็งงกับภูริว่า มันคือ ตึกอะไรกันแน่ งงกันได้สักพัก ก็เห็นพระเดินออกมา ก็เพิ่งเข้าใจว่ามันคือ วัดนี่เอง เป็นวัดที่ประหลาดมาก เดินรอบๆ ก็มี cafe ด้วย เออ เป็นวัดที่แปลกมี cafe อยู่ข้างใน เดินไปดูชื่อวัด ภูริก็ อ๋อ วัดนี้เป็นวัดที่ดังมาก คือ วัดจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนเข้าวัดให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นจัด fashion show หรือมี cafe ในวัด อะไรพวกนี้
เดินต่อไปยัง Ginza ก็ผ่านสวนหย่อมเล็กๆ มีรูปปั้นระลึกถึงสุนัขพยาบาลตัวแรกของญี่ปุ่น แล้วก็โรงละครคาบูกิ เนื่องจากเราออกมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็แค่ 8 โมงกว่าเอง เลยไปนั่งพักที่ PRONTO Cafe รอเวลาสัก 9 โมงนิดๆค่อยไปต่อ เพราะว่า ร้านที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเปิดประมาณ 10 โมง
จาก cafe ก็เดินต่ออีกแค่แยกนึง ก็ถึง Ginza แล้ว Ginza ก็เป็นย่าน shopping แห่งหนึ่งของโตเกียว แต่ว่าด้วยกำลังทรัพย์ตอนนี้ คงไม่สามารถซื้อของร้านแถวนั้นได้ เพราะว่ามีแต่ร้านไฮโซ อย่าง Cartier, Mikimoto, Louis Vuitton, Dior, Chanel และอื่นๆ นอกจากร้านไฮโซต่างๆ แล้วก็ยังมีร้านที่ยังพอซื้อไหว เช่น Uniquo, Apple Store เป็นต้น ถึงแม้ว่าจะซื้อไรไม่ได้ แต่ก็ประทับใจ ที่ตึกต่างๆ ใน Ginza นั้นถูกออกแบบมาได้อย่างงดงาม มี design เอามากๆ ที่ประทับใจกับการออกแบบ ก็คือ ตึก Cartier ตึกสีทองอร่ามใหญ่ ตั้งอยู่หัวมุมถนน อีกตึกหนึ่งที่ชอบก็คือ Dior เป็นตึกที่ทำลายข้างในตึก แล้วข้างนอกก็มีฉลุเป็นรูๆ ทำให้เวลาเรามอง จะเห็นตึกลายที่แตกต่างไป แล้วแต่มุมที่เรามอง นับว่า creative มาก แต่ที่รับไม่ได้ก็คือ ตึกของ Armani ซึ่งมีต้นไผ่ กับเม็ดอะไรขาวๆ ติดอยู่รอบตึก ไม่เข้าใจว่าคิดยังไง ภูริบอกว่าไอ้เม็ดขาวๆ นั่นคือ เม็ดข้าว มี concept อะไรสักอย่าง ไม่อยากจำ เพราะตึกออกแบบมาได้ไม่ได้เข้ากับ ตึกอื่นๆ ในย่านนั้นซึ่ง creative มาก
เดินวนรอบ Ginza เดินต่อไปยังตึก Sony แต่มันยังไม่เปิด ภูริก็เลยกะจะมาไปร้าน Bic Camera สาขาใหญ่ กะว่าเดี๋ยวจะเดินกลับมาดูตึก Sony ตอนกลับ (แต่แล้วก็ลืม) ระหว่างทางก็ผ่านห้างต่างๆ เช่น Hankyu, Seibu บางตึกที่ชั้นใต้ดินก็มีร้านอาหารต่างๆ ในที่สุดก็ถึง Bic Camera ร้านขายสินค้า electronic ที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่น สำหรับสาขาใหญ่นี้ ทั้งตึก 8-9 ชั้น อัดแน่นไปด้วยสินค้า electronic จริงๆ จะพูดว่า electronic อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเดินไปเดินมา เจอโซนของเล่น โซนอุปกรณ์กอลฟ์ โซนขายของไฮโซ เช่นกระเป๋า louis ภูริบอกว่า มันขายของที่ relate กับ electronic ด้วย แต่ก็งงว่า กระเป๋า louis มันเกี่ยวยังไง เดินจนทั่ว ได้เครื่องชาร์จถ่านมา 1 อัน แล้วก็มีเล็งกระเป๋า notebook ไว้ 1 ใบ นอกกจากนี้ ยังมีของที่อยากได้อีก เช่น Wii ที่อยากได้มานานมากแล้ว ที่นั่น ตีราคามาเป็นเงินได้ ประมาณ 8,000 กว่าบาท
ผ่านไปอีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ออกจาก Bic Camera ภูริบอกว่าจะพาไปกินขนมที่ภูริกินแล้วอร่อยที่สุดในโลก โอโห พูดซะขนาดนี้ มันคืออะไรกันแน่ ให้เวลาคนอ่านคิด 5 วินาที............5...........4...........3...........2...........1...........0 โอเคเฉลย เดินไปถึง ใต้สถานีรถไฟ Yurakucho ใกล้กับ Bic Camera นิดเดียว มีร้านขนมอยู่ มองไปทีแรก นึกว่าเป็น ไดฟูกุ ที่มีไส้เป็นถั่วแดง ที่ขายในไทยตามร้าน ยามาซากิ แต่ภูริบอกว่า มันมีไส้ต่างๆ เช่น custard, stawberry และอื่นๆ ชิ้นละประมาณ 250 เยนได้ ลองซื้อไส้ custard กับ stawberry มาลองชิม แต่ตรงสถานีไม่มีที่นั่ง ก็เลยเดินไป Tokyo International Forum หรือว่าเอาง่ายๆ มันก็คือ Impact โตเกียวนี่เอง ถ้าใครยัง งง อยู่ มันก็คือ ที่จัดงานแสดงสินค้า หรือ concert ของโตเกียว ของญี่ปุ่นเค้าไม่เหมือนไทย ที่ hall ต่างๆ อยู่บนดิน แต่ของเค้าอยู่ใต้ดินกันหมด ส่วนบนดินเป็นตึกกระจก รูปร่างเป็นเมล็ดข้าว สวยมาก ภายในมีโครงเหล็กเชื่อมต่อกัน ไปนั่งกินขนม ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมที่สวยงามนี้ กลับมาที่ขนม ดูภายนอกก็เหมือนกับ ไดฟูกุ อย่างที่บอกไป แต่ว่าเนื้อแป้งมันนิ่มมาก พอกัดลงไปก็พบกับไส้ที่อัดแน่นอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็น custard หรือว่า ครีมและ stawberry ลูกใหญ่อยู่ข้างใน อร่อยสมชื่อจริงๆ
กินเสร็จภูริพาไปต่อที่ Muji สาขาใหญ่อีกเช่นเคย เป็นตึก 2 ชั้นใหญ่ดี ข้างในมีแต่ของ Muji ทั้งนั้น ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียง ตู้เย็น เครื่องเล่น CD นาฬิกา เสื้อผ้า ของใช้ accessory มากมาย น่าซื้อทุกอย่างเลย ให้ความรู้สึกเหมือนตอนนั้นที่ไป ikea ที่สิงคโปร์ เห็นไรก็อยากซื้อ แต่ว่าขนกลับไม่ได้นี่ซิปัญหา ไปดูของที่น่าจะได้ใช้มากที่สุด นั่นคือ เสื้อผ้า โชคดีตอนนั้นมันมี sale พอดี ก็เลือกได้เสื้อทั้งหมด 3 ตัว ตัวละ 1,000 เยนเท่านั้น คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 กว่าบาท ซึ่งวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ลองไป Central World เดินร้าน Muji นี่แหละ เจอเลย ตัวเดียวกับที่ซื้อในราคาที่น่าตกใจ 1,200 กว่าบาท โคตรแพง ไม่เข้าใจว่าทำไม Muji ที่ไทยถึงได้ขายแพงอะไรอย่างนี้ ตอนนั้นก็เคยไปซื้อ blazer ของ Muji ที่สิงคโปร์มา ก็ราคาแตกต่างกับที่ไทยราวฟ้ากับดินเช่นกัน ไปลองแว่นตาของ Muji เล่น มันเป็นทรงธรรมดาๆ แต่ว่าใส่แล้ว ขึ้นหมดทุกอันเลย แต่คิดแล้วประมาณ 2-3 พันเลยไม่เอาดีกว่า แว่นที่ใช้อยู่ก็ยังดีอยู่
ออกจากร้าน Muji ก็เดินกลับไปยัง Ginza เพื่อไปยังร้าน Uniquo ซึ่งเพิ่งเปิดแล้วเข้าไปดูเสื้อผ้ากัน เสื้อผ้าราคาก็ไม่แพงมาก เน้น design ที่เรียบง่าย แต่ใช้ได้ตลอดกาล ซึ่งราคาไม่แพงมาก ส่วนตัวคิดว่า ไม่ใช่แบบที่ใส่มากนัก เนื่องจาก เสื้อมันเรียบเกิน ต้องขออะไรที่มี detail เล็กน้อย แต่ไปสะดุดเอากับเข็มขัด แต่ก็ยังไม่ซื้อเก็บไว้ก่อนละกัน หลังจากดูเสร็จ ถนนแถว Ginza ก็ปิดให้คนสามารถลงมาเดินได้พอดี ตอนนั้นก็เริ่มหิวแล้ว เวลาก็เลยเที่ยงมานานแล้ว เลยตัดสินใจไปกินกันที่ใต้ตึก Itocia แถวสถานี Yurakucho ซึ่งข้างล่างจะมีร้านอาหารต่างๆ มาเปิด ลองเดินวน 1 รอบ ก็ตัดสินใจกินร้านแกงกะหรี่กัน ร้านนี้เป็นร้านที่รวมเอาแกงกะหรี่ 5 ร้านดังมาไว้ด้วยกัน ก็สรุปเลือกแกงอินเดีย กับแกงกะหรี่ (วิญญาณ)เนื้อ ก็รสชาติออกจะธรรมดา ส่วนแกงอินเดียนี่ถึงขั้นไม่ไหว เสร็จจากกินข้าว ก็ไปยังจุดหมายต่อไปของเรา
วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
ไอ้ตึก armani นี่ล้อเล่น..
จริง ๆ แล้วเค้าจะทำให้มันเป็นต้นไผ่อะ
แต่มันเหมือนเศษข้าวติดตะเกียบมากกว่า
แสดงความคิดเห็น