20 กุมภา
วันนี้ตื่นไม่ค่อยเช้ามาก ประมาณ 6 โมงได้ ขึ้นรถไฟ JR Osaka Loop วนไปยังสถานี Osaka แล้วต่อรถไฟ JR ไปลงสถานี Shin-osaka เพื่อขึ้น Hikari รอบ 7:43 นั่งปุ๊บเอาของที่เหลือจากที่เมื่อคืนซื้อไว้มากิน ยังไม่ทันหายเมื่อย ก็ถึงสถานี Kyoto ตอน 8 โมงพอดี อย่างแรกที่จะทำคือ ไปโรงแรม แล้วฝากของเอาไว้ ตอนแรกหาโรงแรมที่ Kyoto เอาไว้ 5 ที่ด้วยกัน ก็มี Fujiya Ryokan, Shimizu Ryokan, Costa del sol Kyoto, K's House Kyoto, และ Kyoto White House เมื่อคืนก็ตัดสินใจแล้ว เลือกอันที่ location ดีสุด แล้วก็ถูกสุด ก็คือ Kyoto White House คืนละ 3,300 เยน ออกจากสถานี แบกกระเป๋า เดิน วน 1 รอบเพื่อหาทางไปโรงแรม ออกจากสถานี ก็เจอกับ Kyoto Tower เลย เดินไปทางขวา เลี้ยวเข้าซอย แล้วเลี้ยวซ้ายเล็กน้อยในซอย ก็เจอแล้วป้าย Kyoto White House ตอนแรก แอบมองลอบเข้าไปข้างในก่อน ไม่มีคนอยู่เลย งั้นลองเดินเข้าไปละกัน มองดูที่ counter ก็ไม่มีคน ไม่มีกระดิ่ง เอาไงดีเนี่ย เวลาก็ไม่หยุด มานั่งรอเสียเวลาตาย งั้นกลับไปสถานีฝากกระเป๋าไว้ที่ locker แล้วโทรศัพท์ไปจองแทนดีกว่า ไปถึงสถานี หยอดตู้ไป 300 เยน แล้วลองโทรศัพท์ไป แต่เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ Kyoto White Hotel ซึ่งเป็นเครือเดียวกัน แต่ไฮโซกว่าหน่อย โทรไปก็ใส่อังกฤษใหญ่ พนักงานก็อึ้งๆ เงียบๆ ไป แล้วพูดภาษาอังกฤษช้าๆ ว่า I don't understand English อ้าวซวยแล้วกูทำไงดี พนักงานก็แอบฉลาด คงจะมี pattern ถาม Name?, Today? ถาม ต่อไปเรื่อยๆ ก็โอเค จองได้ละ ไปเที่ยวดีกว่า
การเดินทางใน Kyoto ก็จะใช้รถ bus เป็นหลัก เพราะฉะนั้น ก็ซื้อตั๋ว 1 day pass สำหรับนั่งรถบัสเลย 500 เยน จากสถานี Kyoto จะไปที่ไหน อันนี้ง่ายมาก เพราะว่าเป็นท่าปล่อยรถเลยตรงนี้ อยากไปไหน ก็มีป้ายบอกเป็นภาษาอังกฤษหมด จุดหมายของเช้านี้ก็คือ วัด Kinkakuji, วัด Ryoanji และวัด Ninnaji นั่งรถไปเลย ไปถึงวัดแรกของเรา วัด Kinkakuji
วัด Kinkakuji วัดนี้เป็นที่ตั้งของวิหารสีทอง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวัดที่ชื่อดังที่สุดของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ถ้าใครเคยดูการ์ตูน อิกคิวซัง ก็คงจำกันได้กับวิหารสีทองในเรื่อง ซึ่งก็คือวิหารสีทองในวัด Kinkakuji นี้เอง ตอนขึ้นรถก็เจอกับสาว 2 คน ดูจากหน้าตา ท่าทาง การแต่งตัว น่าจะเป็นคนไทย แล้วอีกอย่างเธอขึ้นมาถึง ก็ไปนั่งที่นั่งที่เค้า reserve ให้คนพิการ คนแก่ไรงี้ ตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่รู้เรื่อง ไปถึงอ้าว พวกเธอก็ลงพร้อมกันอีก พอลงจากรถ เอ๊ะ ไปทางไหนหว่า นั้นไงป้าย เดินจนมาถึงทางเข้าวัด ตรงทางเข้า มีต้นไม้สูงใหญ่ ดูรมรื่น รู้สึกอากาศชื้นมาก มองไปที่พื้นใต้ต้นไม้ โอโห หญ้าเต็มเลย แต่เอ๊ะ นี่มันหน้าหนาวทำไมมีหญ้า เลยเดินไปดูใกล้ๆ ขอโทษ มันคือ มอส นะครับ มีแต่ที่อากาศเย็นๆ เท่านั้น ไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นตามพื้นสนามที่ไทย เดินผ่านประตูชั้นแรก สาวๆ ที่คาดว่าเป็นคนไทย ตอนนี้ก็เปิดเผยสัญชาติตัวเองแล้วว่า พวกเธอคือคนไทย ด้วยการบอกเพื่อนเธอให้ถ่ายรูปขยับซ้าย ขยับขวา ตอนนั้นขี้เกียจทำตัว friendly ไปทัก แล้วต่อไปเราก็จะไปเที่ยวกับเค้า แล้วเราจะเสีย plan ที่วางไว้ เลยเดินต่อไปก็จะเจอ จุดจ่ายค่าธรรมเนียม 600 เยน ก็ได้รับตั๋วเข้าชมวัด เป็นใบคล้ายๆ ยันต์ เดินผ่านประตูเข้าไป เลี้ยวซ้าย 1 ที เจอเลย วิหารทองคำ เหลืองอร่าม ต้องกับแสงพระอาทิตย์ เป็นภาพที่สวยงามมากเลย ตัววิหารทาสีทองทั้งหลัง ทองได้ใจจริงๆ ด้านบนก็เป็นนกฟินิกซ์สีทองยืนเด่นอยู่กลางหลังคา ที่จุดนี้ ถ่ายรูปกันใหญ่ ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนญี่ปุ่น คนเยอะเลย ถ่ายวิวพอแล้ว ขอมีรูปตัวเองกับวิหารทองหน่อย และแล้วสาวไทย ก็มาถึง เอ๊ะ ไม่เอาดีกว่า ไว้ให้เธอถ่ายรูปเสร็จ ค่อยไปขอคนอื่นดีกว่า และแล้วเธอก็ไป คุณลุงคุณป้าคนญี่ปุ่นนี่หน่า ท่าทางใจดี ขอให้เค้าถ่ายรูปให้ดีกว่า วันก่อนเรียนจาก ภูริ มาแล้ว เอาเลย Shashin o toute kudasai? อะได้ผล คุณลุงแกตอบรับอย่างดี ถ่ายเสร็จ ก็ต้องขอบคุณตามมารยาท Arigato gozaimasu เรียบร้อย หมด hi-light ของวัดก็เจอแล้ว จบ เดินอ้อมมาด้านหลังของวิหาร เดินต่อไปตามทาง ก็จะเป็นสวน น่าจะเรียกว่า ป่าก็ได้นะ เพราะ ต้นไม้ใหญ่มาก ระหว่างทางก็จะมีรูปปั้นพระ อะไรตามเรื่อง ทางเดินนี่เหมือนจะเป็นทางราดที่ค่อยๆ ขึ้นไปยังเนิน เพราะ สุดทาง เราจะเห็นหลังคาของ วิหารทอง ก่อนออกจากวัด ก็จะเจอตู้เซียมซี hi-tec มีให้เลือกทั้งภาษาอังกฤษ เกาหลี หรือจีน แค่หยอดไป 100 เยน คำทำนายก็จะออกมา หมดแล้วสำหรับวิหารทอง ทั้งวัดมีแค่วิหารจริงๆ ที่เป็นจุดขาย อย่างอื่นไม่มีเลย
วัดต่อไปที่เราจะไป ก็คือ วัด Ryoanji จากวัด Kinkakuji ก็สามารถนั่งรถบัส หรือว่าจะเดินไปก็ได้ คิดว่ารถบัสเนี่ยคงต้องรอนาน เลยตัดสินใจเดิน ถามคุณลุงยามด้านหน้าวัด Kinkakuji ว่าวัด Ryoanji ไปทางไหน คุณลุงแกก็หันมายิ้มแล้วชี้ไปทางขวาถ้าเราหันหลังให้วัด Kinkakuji ช่างใจดี friendly ดีจังประทับใจ เดินไปไม่ถึง 1 นาที หันกลับมาเห็นรถบัสมาจอด เล่นเอาเซ็ง ตอนแรกนึกว่าเดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่ผิดคาด เดินเกือบ 10 กว่านาทีได้ ถึงจะถึงวัด Ryoanji สำหรับวะด Ryoanji นี้เป็นวัดในนิกายเซน ที่มีชื่อเสียงมาจากสวนหิน ที่วัดนี้ก็พบกับกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษาเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม เราเดินเข้ามาทางด้านหลัง ก็จะผ่านกับร้านขายขนมก่อน แล้วเดินไปไม่ไกล ก็จะเจอกับ ทางเข้า จุดจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 500 เยนได้บัตรขนาดเท่ากับที่คั่นหนังสือ เป็นรูปสวนหินอันเลื่องชื่อของวัด Ryoanji แห่งนี้ เดินเข้าไป ยังไม่ต้องให้บัตร ทางเดินก็จะมีต้นไม้ 2 ข้างทาง และด้านซ้ายก็จะเป็นบึงขนาดใหญ่มาก มีศาลาอยู่กลางบึงด้วย เดินเข้าไปลึกพอสมควร และแล้วก็ถึงวิหาร ดูภายนอกก็เหมือนบ้านธรรมดาๆ เข้าไปก็ถอดรองเท้าวางไว้ แล้วใส่รองเท้าแตะที่เค้าเตรียมไว้ เดินเข้าไปเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอกับผู้คนนั่งชมสวนหินอย่างสงบ (มั้ง) สำหรับสวนหินนี้รู้สึกได้ถึงความตั้งใจในการทำให้หินเป็นลายได้สวยงาม เหมือนดังคลื่นทะเล เวอร์ไปไหมเนี่ย นั่งชมไปได้สักพัก สองสาวชาวไทย เจ้าเดิมแกก็มาแล้ว ถ่ายรูป ชู้นิ้ว คิขุกน่ารักกันใหญ่ ช่างเธอไป เดินออกมาดูด้านหลังดีกว่า จากสวนหิน ก็จะมีห้อง ไม่รู้ว่าเป็นห้องของใครเหมือนกัน เรายืนชมอยู่ด้านนอก ห้ามเดินเข้าไป ภายในก็วาดภาพของภูเขา และเกลียวคลื่นของเมฆสวยงามทีเดียว ออกจากตัววิหาร ก็เดินต่อออกไปชมสวนของวัด ก็เป็นสนสวยงาม ภายใต้สนก็จะเป็นมอส เดินวนมาทางบึง แล้วก็ออกยังทางเดียวกับที่เดินเข้ามา
จากวัด Ryoanji เราจะเดินกันต่อไปยังวัด Ninnaji ที่อยู่ไม่ไกลกัน วัดนี้เดิมทีเป็น พระราชวังเก่า พอดีเดินไปเข้าทางอีกด้านนึงก่อน เลยไม่ได้เข้าทางด้านหน้าวัด พอเข้ามาถึง ก็จ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้าชม 500 เยน ซึ่งมารูทีหลังว่า ค่าธรรมเนียมนี้ เฉพาะผู้ที่อยากเข้าชมส่วนที่เป็นพระราชวังเท่านั้น ถ้าใครอยากจะดูแค่วัดก็ไม่ต้องจ่าย เราไปดูกันที่บริเวณวัดก่อน เมื่อเดินไปถึง ก็จะเห็นทุ่งของต้นซากุระที่มีแต่กิ่ง เนื่องจากฤดูหนาว แต่ต้นซากุระที่นี้พิเศษกว่าที่อื่น ตรงที่เป็นพันธุ์เตี้ย เดินต่อไปก็จะเห็นเจดีย์สูง ศาลา วิหาร ต่างๆ มากมาย ให้เราไปสักการะ ตรงนี้ก็เริ่มหิวแล้ว เลยเดินกลับไปนั่งตรงศาลาที่พัก ตรงข้ามทุ่งซากุระ หยิบเอาขนม Momiji Manju ที่ซื้อจากเกาะ Miyajima ที่ Hiroshima มากิน กัดไปปุ๊บก็เจอไส้เลย รสชาติก็ใช้ได้ ไม่หวานเกินไป ถือว่าสอบผ่าน จากวัด เดินลงบันไดมาเข้าชมส่วนของพระราชวัง เข้าไปก็จะพบกับสวนหิน ที่มีต้นสนถูกดัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ในส่วนของตัวพระราชวังเอง ก็ต้องถอดรองเท้าเข้าไป ข้างในก็จะเห็นกับภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปพระโพธิสัตว์ เมื่อหันไปอีกด้าน ก็จะเจอสวนหินที่จัดไว้อย่างดี เดินต่อไป ก็จะเห็นสวนญี่ปุ่น ที่ถูกจัดไว้ล้อมรอบกับสระ โดยมีวิวด้านหลัง เป็นวัด Ninnaji จากรูปอาจจะดูไม่สวย แต่ของจริงสวยมากเลย พอออกจากวัด ก็เพิ่งมาดูประตูทางเข้าแบบใกล้ๆ เป็นประตูไม้ ที่เก่ามาก แล้วสร้างไว้ได้ใหญ่มา ประมาณตึก 4 ชั้นได้ 2 ข้างของประตูก็จะมียักษ์ยืนเฝ้าอยู่ 2 ตน ข้างหน้าวัดก็จะเป็นป้ายรถบัสพอดี งั้นรอรถบัสเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายถัดไปของเราเลยละกัน
วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
2 ความคิดเห็น:
shashin o toute kudasai
เอ๊ะ มันไม่ค่อยสุภาพป่าวแก
แล้วไม่ใช่ toute ด้วย
totte ต่างหาก
ใช้เป็น shashin o totte moraimasenka? น่าจะดีกว่านะ
พอดีตอนนั้น ลืมอีกประโยคที่แกสอนนะ
แสดงความคิดเห็น