วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2551

Roppongi ยามดึก

จาก Tokyo Station นั่งรถไฟ Metro ไปลงสถานี Roppongi ตอนแรกนัดภูริไว้ตอน 6 โมงเย็น เนื่องจากชม Imperial Palace เร็ว เลยไปถึงที่ Roppongi เร็วกว่าที่กำหนด ก็เลยไปเดินที่ Roppongi Hill ก่อน ไปถึงก็พบตึก Mori ตึกสูงใหญ่หนึ่งเดียว รู้สึกตรงนั้นจะเป็นเนินเขา แล้วตรงตึกก็จะมีส่วนที่สร้างขึ้นมา เป็นคล้ายๆ เขา แล้วจะมีตึกอยู่บนเขานี้ อธิบายไม่ถูกอะ ต้องไปดูเอง ขึ้นบันไดเลื่อนไปบนส่วนที่สร้างขึ้นมาเป็นเหมือนเขา ข้างบนก็จะมี โครงเหล็กสร้างเป็นลักษณะคล้ายแมงมุมตัวใหญ่อยู่ ลองดูในรูปละกัน ในบริเวณนั้นก็มี museum ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้เข้าไปดู เดินผ่าน museum ก็จะเป็นจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็น Tokyo Tower ได้ สวยเด่นเป็นสง่าดี โครงเหล็กสีแดง ตัดกับฟ้าสีส้มๆ ม่วงๆ ยามเย็น ในส่วนตึก ไม่ได้เข้าไปดูเพราะว่า ใกล้เวลานัดกับภูริแล้ว แต่มองเข้าไป รู้สึกจะมีร้านขายของอะไรประมาณนี้ด้วย อ่อ มารู้ทีหลังว่า เราสามารถขึ้นไปบนตึกชมวิว Tokyo ได้ แต่ว่าก็ต้องเสียตังค์ ไม่ฟรีนะ

จากบน Hill มองลงไปข้างล่างก็จะเห็นสถานีทีวี Asahi ก็เป็นจุดท่องเที่ยวอีกที่นึงของ Roppongi เดินลงมา จริงๆ สถานีโทรทัศน์นี้ เราก็ไม่สามารถเข้าไปดู บรรยากาศการทำงานของเค้าได้หรอกนะ ที่ดูได้ก็แค่ ชั้น 1 ชั้นเดียวเท่านั้น พอเดินเข้าไปก็จะเจอร้านขายของที่ระลึกของสถานี ก็จะเป็นพวกสมุด ปากกา กุญแจ ขนม แฟ้ม ตุ๊กตา ของที่ระลึกต่างๆ นานา ของรายการของสถานีนั้น ที่รู้จัก ก็รายการเดียวก็คือ โดเรมอน นอกนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ ก็ได้แฟ้มโดเรมอนมาใบนึง เดินออกจากร้าน ก็จะเจอ โดเรมอนตัวใหญ่ตั้งวางอยู่ แล้วก็โฆษณารายการต่างๆ ของสถานี พอดีช่วงที่ไปเค้ากำลังจะ count down ครบ 50 ปี หรือกี่ปีไม่รู้จำไม่ได้ ของสถานี ก็เลยมีเอา Tokyo Tower จำลองมาสร้างไว้ ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับครบรอบ แต่เค้าทำไว้ ก็ถ่ายรูปกลับมา สังเกตุว่าในส่วนที่เราเดินเข้าไปไม่ได้นั้น security เค้าค่อนข้าง strict มียามมาเฝ้าอยู่ทุกจุดเลย เดินออกมาด้านนอกสถานี ก็จะมองเห็นหน้า Louis Vuitton รู้สึกว่าสวยกว่าตรง Ginza อีกร้านนี้ เดินต่อไป ก็มีนาฬิกา digital เรือนใหญ่มาก count down ไอ้งานฉลองของสถานี เท่าที่ดูมันอีกประมาณ 200-300 วันได้ ไม่รู้จะรีบ count ไปทำไม

เดินออกจากสถานี ก็วนออกมาอีกด้าน ก็จะเจอสวนเล็กๆ ที่จัดไว้น่ารักๆ จากการเพ็งมองในความมืด เนื่องจากเริ่มดึก ก็คิดว่า น่าจะเป็นสวนที่ค่อนข้างจะสวยแน่ๆ มีทั้งต้นไม้ น้ำตกจำลอง ไรพวกนี้ด้วย ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลานัดกับภูริแล้ว งั้นออกเดินไปที่ meseum ดีกว่า อ่ะนั้น ป้ายแผนที่ ลองทำตัวเป็นคนญี่ปุ่น ไปดูป้ายแผ่นที่ดีกว่า (ภูริเล่าว่า คนญี่ปุ่นเเวลาไปไหนค้าไม่ดูหรอกนะแผ่นที่ มันดูไม่ pro) จริงๆ ก่อนจะมา Roppongi ก็เล็งไว้แล้วว่า meseum นี้มันอยู่ไหน ก็ไม่ไกลกว่า Roppongi Hill นี่มากเท่าไหร่ โอเคดูแผ่นที่ จำชื่อ meseum ไม่ได้ แต่นั่นไง meseum ไปทางนี้ ก็เริ่มเดินๆๆๆ เดินไปได้นานพอควร เอ๊ะทำไมมันไม่ถึงซะทีวะ นานเกินนะเนี่ย มองไปป้ายถนนที่เค้าให้คนขับรถดู มีคำว่า Shibuya ตายห่า ผิดทางแน่ มองนาฬิกา ตายห่า เลยเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว รีบหาโทรศัพท์ไปหาภูริ เดินกลับไป กว่าจะหาโทรศัพท์ได้ ก็น่าจะ 10 นาทีได้ โทรไป เสียงภูริเซ็งโลกมาก สรุปนัดกันที่ใหม่ที่ Starbuck ใน Tokyo Midtown เดินกลับไป Roppongi Hill โอ๊ยขาลาก เดินไม่หยุดเลยทั้งวัน ตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จ ตอนนี้ไม่ดูแล้วแผ่นที่จากป้าย ดูแผ่นที่แผ่นพับของตัวเองดีกว่า จาก Roppongi Hill เดินต่อไปหน่อยก็จะถึง Roppongi Intersection สี่หรือสามแยกนี่เอง จริงๆ ช่วงนั้นอยากถ่ายรูปมานะ แต่ว่าต้องรีบไม่งั้นเจอภูริฆ่าแน่ ระหว่างทางก็ผ่านร้านอาหารมากมาย แอบดูแล้วน่าสนใจหลายร้านในที่สุดก็ถึงแล้ว Tokyo Midtown บริเวณรอบๆ ตึก รู้สึกเต็มไปด้วยงานศิลปะ ยังไงไม่รู้ ทุกอย่างเหมือนถูก designer design มาอย่างดี และแล้วก็ถึง Starbuck

Tokyo Midtown เป็นตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น แต่เนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการเดินกลับไปกลับมา เลยไม่ได้ชื่นชมความงาม และความสูงของตึกสักเท่าไหร่ มั่วแต่นั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ Starbuck ร่วมชั่วโมง เสร็จก็ลองเดินเข้าไปในห้าง Galleria ห้างที่มีอยู่หลายประเทศ ห้างไฮโซ ซึ่งข้างในสวยเอามากๆ ไปเดิน Muji แต่ Muji ที่นี่ไม่เหมือนกับ Muji ที่อื่นๆ นะ เพราะว่าเป็น Muji xxx (ลืม ไว้รอภูริมาเต็มละกัน) สินค้าที่เน้น ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นพวกเสื้อผ้า อีกร้านที่แวะไป ก็คือ ร้าน Toraya ร้านขนมร้านแรกของญี่ปุ่น เค้าว่ามาอย่างงั้น ภูริบอกว่า อาจจะเพราะ เหลืออยู่ร้านเดียวที่ยังอยู่ทนมาจนถึงทุกวันนี้ ภายในร้านก็เป็นส่วนที่เป็น showroom โชว์พวกแม่พิมพ์ที่ไว้ปั้มขนม ซึ่งมองแล้วรู้สึกวิจิตรมาก ผลงานที่ออกมาสวยมาก แต่คงไม่ต้องพูดถึงรสชาติ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าขนมญี่ปุ่น มันหวานอย่างเดียว จริงๆ อยากเดินมากกว่านี้ แต่ว่าร่างกายที่เดินมาทั้งวัน แล้วก็หิวมาก เลยไปหาไรกินดีกว่า

ภูริพาเดินกลับไปทาง Roppongi Intersection ไปยังร้านราเมน Ichiran ขายราเมน Tonkotsu อย่างเดียว ไอ้ราเมน Tonkotsu มันก็คือ ราเมนที่น้ำซุปมาจากกระดูกหมู ร้านนี้เหมือนเดิม ต้องซื้อเป็นคูปอง แต่ต่างกันที่ เมนูมันมีอย่างเดียว แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเพิ่มอะไรอีก เช่น ไข่ หมูชาชู ไรงี้ พอได้คูปองเสร็จ ก็เดินไปหาที่นั่ง ที่นั่งนั้น ก็ต้องดูจากตารางไฟ ที่อยู่ข้างหน้า ว่าที่ไหนว่าง ก็ค่อยเดินเข้าไป พอเข้าไป ที่นั่งก็เป็นคอกๆ ให้นั่งได้คนเดียว ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อไม่ให้คุยกัน ให้รีบๆ กิน เข้าไปถึง พนักงานก็จะให้กระดาษมาติ๊กว่า เราจะใส่ซอสเยอะขนาดไหน จะเอาหมูไหม จะใส่น้ำมันเยอะไหม customize ได้สุดๆ เมื่อติ๊กเสร็จ ก็ส่งให้พนักงาน พร้อมคูปอง รอไม่นานก็เอาราเมนมาเสริฟ์ พอเราได้ของที่สั่งหมด ก็จะปิดม่าน ระหว่าง เรากับพนักงาน ให้ตั้งใจกินกันเต็มที่ กินเข้าไปคำแรก รู้สึกแค่เค็มอย่างเดียว ไม่มีรสอื่น แต่พอกินไปเรื่อยๆ รู้สึกกลมกล่อม น้ำซุปต้มจนข้น แล้วก็หวาน ไข่ก็ต้มเป็นยางมะตูมได้พอดี แต่เส้นแข็งไปนิดนึง กินจนไม่เหลืออะไร น้ำซุปก็หมด ใต้จานก็มีเขียนขอบคุณคนกินที่กินจนหมดทุกหยด ร้านนี้จริงๆ มีอยู่หลายสาขา แล้วเหมือนจะเป็นร้านแรกที่ทำราเมนแนวนี้ แต่ตอนนี้มีคนทำเลียนแบบมากมาย เวลาไปร้านราเมนคนญี่ปุ่นเค้าจะไม่กัดเส้นกัน เพราะฉะนั้น จะได้ยินเสียงซูดเส้นกันดังสนั่นร้าน ก็ไม่ต้องตกใจกัน กินเสร็จรู้สึกมีพลังขึ้นมาทันที พร้อมที่จะกลับไป shibuya ซื้อรองเท้าที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

นั่งรถไฟ ไปลง Shibuya รีบตรงไปร้านทันที ไปถึงร้านกำลังจะปิดพอดี โชคดีที่มาทัน ก็ได้รองเท้าสมใจ เป็นลูกค้าคนสุดท้ายของร้านพอดี กลับมาที่ห้องภูริ ก็ให้ภูริช่วยหาเว็ปที่ผูกเชือกรองเท้าแปลกๆ แล้วลองผูกดู ก็ออกมาสวยเกินคาด กำลังวันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวัน ตื่นตั้งแต่ ตี 5 กว่าจะได้นอนก็ ตี 3 พรุ่งนี้นัดกับพี่ต้าไว้จะเที่ยวแถว Shinjuku

ขอเอารูปรองเท้ามาโชว์หน่อยนะ รองเท้าคู่นี้ชอบมากเลย
PhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucketPhotobucket

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เค้าซูดราเมน เพราะให้มันเย็นลงต่างหากละ